คลังเก็บหมวดหมู่: Gadget

CORSAIR TBT100 Thunderbolt 3 Dock เชื่อมต่อหลากอุปกรณ์จบในตัวเดียว

CORSAIR เปิดตัว CORSAIR TBT100 ที่เป็น Thunderbolt 3 Dock รุ่นแรกของค่าย ผนวกดีไซน์สไตล์อินดัสเตรียลพร้อมโครงสร้างอะลูมิเนียม การใช้งานอันง่ายดาย และการจัดการพลังงานอันยอดเยี่ยม รวบเอาความสามารถของ Thunderbolt 3 ไว้เพียงเอื้อมมือบนโต๊ะทำงาน รองรับการเชื่อมต่อกับพอร์ทหลากหลาย

ด้วยดีไซน์อันเรียบหรูบางเบาของเคสอะลูมิเนียม ถึงแม้จะมีขนาดเล็กและบาง แต่ก็สามารถเชื่อมต่อด้วยแบนด์วิชท์สูงสุดถึง 40Gbps และส่งผ่านพลังงานของพอร์ท Thunderbolt 3 ไปยังอุปกรณ์หลากหลายชิ้นในหนึ่งเดียว มีช่องเชื่อมต่อ USB Type-C 10Gbps ให้สองพอร์ท USB 5Gbps อีกสองพอร์ท สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ USB ที่ใช้พลังงานเต็มความสามารถในการส่งพลังงานของพอร์ท USB ได้พร้อมกันสูงสุด 4 ชิ้น และสำหรับการเซ็ทอัพเวิร์คสเตชั่นจอคู่

นอกจากนี้ยังมีพอร์ท HDMI 2.0 มาให้อีก 2 พอร์ท ที่สามารถขับจอแสดงผลความละเอียด 4K 60Hz HDR ได้พร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังมีแจ๊คเสียบไมค์โครโฟนหรือหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร และ Gigabit Ethernet เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย LAN ในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว ยังไม่เพียงเท่านี้ ยังมี UHS-II SD Card reader รวมมาให้ในตัว

เทคโนโลยี Smart Charging หมายถึงความสามารถที่ TBT100 จะส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อต้องการ โดยมีเรตติ้งพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 85 วัตต์ โดยเมื่อตัว docking นั้นถูกใช้พอร์ท USB เต็มทั้ง 4 พอร์ทไปแล้วซึ่งจะใช้พลังงาน 30 วัตต์โดยรวม ตัว docking ก็จะยังเหลือพิกัดไฟพอให้ใช้ชาร์จไฟเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วยพิกัดที่เหลืออีก 65 วัตต์

ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่าย ทำให้ TBT100 สามารถวางใช้งานได้ทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือเซ็ทอัพเวิร์คสเตชั่นในรูปแบบ work-from-home ได้อย่างไร้ที่ติ การเชื่อมต่อแบบ plug-and-play สามารถรันได้อย่างรวดเร็วทั้งบน macOS และ Windows ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์บนโต๊ะทำงานเป็นเรื่องง่าย และไต้องวุ่นวายกับสายระโยงรยางค์อีกต่อไป แต่ยังคงสมรรถนะสูงสุดของสาย Thunderbolt 3 เอาไว้ได้

CORSAIR TBT100 Thunderbolt 3 นั้นมีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ผ่าน CORSAIR Webstore และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายทีได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการของ CORSAIR ทั่วโลก มาพร้อมกับการรับประกัน 2-ปีเต็มพร้อมบริการหลังการขาย โดยเครือข่ายผู้ให้บริการดูแลลูกค้าและทีมสนับสนุนด้านเทคนิคจาก CORSAIR ทั่วโลก

Sennheiser CX 400BT True Wireless เสียงเหนือระดับ ไดนามิกไดรเวอร์ 7 มม.

หูฟังไร้สาย Sennheiser CX 400BT True Wireless ส่งมอบประสบการณ์เสียงเหนือระดับอันเป็นเอกลักษณ์ของเซนไฮเซอร์ด้วย ไดนามิก ไดรเวอร์ขนาด 7 มม. เอกสิทธิ์ของเซนไฮเซอร์ที่เป็นที่กล่าวขานอย่างทั่วถึง อย่างเช่นในหูฟัง MOMENTUM True Wireless 2 ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ด้วยระบบเสียงสำหรับหูฟังไร้สายระดับพรีเมียมที่พัฒนามาเพื่อผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงโดยเฉพาะ หูฟังรุ่นนี้จึงสามารถส่งมอบระบบเสียงสเตอริโอที่มีความแม่นยำสูง (High-fidelity Stereo) พร้อมเสียงเบสที่หนักแน่นกับเสียงแหลมที่ใสเป็นธรรมชาติ เก็บครบทุกรายละเอียด เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยแอปพลิเคชัน Sennheiser Smart Control ปรับแต่งหรือสร้างชุดเสียงได้ตามต้องการด้วยอีควอไลเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวหูฟัง นอกจากนี้หูฟังไร้สาย CX 400 BT True Wireless ยังรองรับตัวแปลงสัญญาณไม่ว่าจะเป็น SBC, AAC และ aptX ซึ่งสามารถรับประกันคุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมสำหรับอุปกรณ์มือถือได้ทั้งระบบ iOS และระบบ Android

ตัวหูฟัง CX 400 BT True Wireless ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา สัมผัสความบันเทิงและเชื่อมต่ออย่างง่ายดายไม่ติดขัดด้วยระบบควบคุมแบบสัมผัสที่ปรับแต่งได้ของหูฟังรุ่นนี้ ซึ่งผู้ใช้งานสามารถออกแบบวิธีการควบคุมเสียง การโทร หรือระบบการสั่งงานด้วยเสียง เช่น Google Assistant หรือ Siri ได้ตามต้องการ

สำหรับการรับสายและการใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะบนอุปกรณ์มือถือ หูฟังไร้สาย CX 400 BT True Wireless ตอบโจทย์ผู้ใช้งานด้วยฟังก์ชั่นไมโครโฟนลดเสียงรบกวนรอบข้างเพื่อให้การโต้ตอบเป็นไปอย่างธรรมชาติ แม่นยำ และชัดเจน อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ไม่ติดขัดด้วยการส่งสัญญาณไร้สายอย่างไร้ที่ติผ่านเทคโนโลยีบลูทูธ 5.1 ที่สามารถใช้และจัดการได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชัน Sennheiser Smart Control

CX 400BT True Wireless มีขนาดเล็ก เบา และสวมใส่สบาย ถูกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์และดีไซน์ที่เรียบง่ายและสมดุลอย่างลงตัวนี้มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำและสีขาว พร้อมมอบความสบายขณะสวมใส่ตลอดทั้งวัน ผนวกกับคุณภาพในการผลิตขั้นสูงที่การันตีการใช้งานอย่างทนทาน นอกจากนี้ หูฟังรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับอะแดปเตอร์ที่มีให้เลือกถึง 4 ขนาดเพื่อการสวมใส่ที่พอดีกับหูและการลดเสียงรบกวนภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านของพลังงาน พร้อมมอบความเพลิดเพลินให้ผู้ใช้ตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ชั่วโมง และนานสูงสุด 20 ชั่วโมงเมื่อชาร์จผ่านเคสระหว่างการเดินทาง

Sennheiser CX 400BT True Wireless ราคา 7,990 บาท จะวางจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ ที่เซนไฮเซอร์ ออนไลน์ สโตร์ (https://th.sennheiser.com) และร้านตัวแทนจำหน่ายของเซนไฮเซอร์

Samsung Galaxy Z Fold2 5G สมาร์ทโฟนจอพับดีไซน์ล้ำ สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

Samsung Galaxy Z Fold2 5G การเดินหน้าสู่โลกยุคใหม่ ของสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ที่พัฒนาให้ลงตัวและสมบูรณ์แบบมากขึ้น

เป็นสมาร์ทโฟนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และโดดเด่นมากๆ ในเรื่องนวัตกรรมที่รวมเทคโนโลยีของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตไว้ในเครื่องเดียว พร้อมดีไซน์แห่งอนาคต ที่ผ่านการต่อยอดและพัฒนาขึ้นเพื่อส่งมอบประสิทธิภาพที่ดีที่สุดและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานที่หลากหลาย ด้วยจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งจอด้านหน้าและจอหลักด้านใน แต่ยังคงความสะดวกในการพกพา พร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์บนนวัตกรรมที่ดีที่สุดจากซัมซุง

Samsung Galaxy Z Fold2 5G ดีไซน์ที่เหนือล้ำจินตนาการ

การออกแบบ หน้าจอแสดงผลด้านหน้าเป็นแบบ Infinity-O ขนาด 6.2 นิ้ว ที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องกางเครื่องออก สะดวกเวลาที่เช็คอีเมล์ ค้นหาเส้นทาง หรือดูซีรีย์ แล้วเมื่อกางเครื่องออก ก็จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ 7.6 นิ้วอยู่ภายใน รองรับใช้งานแบบ Multi-tasking พร้อมรับชมคอนเทนต์ได้เต็มอรรถรส ด้วยขอบจอที่บางลง และรูกล้องขนาดเล็ก ไร้รอยบากลดสิ่งรบกวนสายตา พร้อมรองรับค่ารีเฟรชเรทสูงสุดถึง 120Hz เพื่อการรับชมที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด พร้อมระบบเสียงไดนามิกลำโพงคู่ ให้อรรถรสของเสียงได้เต็มอารมณ์

นวัตกรรมการออกแบบหน้าจอของ Galaxy Z Fold2 5G เน้นให้มีความเพรียวบางและเป็นหนึ่งเดียว หน้าจอหลักทำจาก Ultra Thin Glass หรือนวัตกรรมแผ่นกระจกที่สามารถโค้งงอได้ มอบสัมผัสที่หรูหรา พรีเมียมยิ่งขึ้น เพิ่ม Flex Mode เพื่อให้กางเครื่องออกได้หลายองศา ช่วยให้วางตั้งเพื่อทำงานได้แบบ Had-free อย่างอิสระ รวมถึงบริเวณระหว่างบานพับและตัวเครื่องยังประกอบไปด้วย Sweeper Technology หรือนวัตกรรมเส้นใยไฟเบอร์ขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ป้องกันฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปในตัวเครื่อง ซึ่งใน Galaxy Z Fold2 5G ซัมซุงได้พัฒนาเส้นใยไฟเบอร์ให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการป้องกันสิ่งแปลกปลอมอย่างเต็มที่

ตัวสี ลูกค้าของซัมซุงสามารถสั่งทำGalaxy Z Fold2 5G แบบพิเศษเฉพาะตัว เลือกสีบานพับของตัวเครื่องเองได้ ได้แก่ สี Metallic Silver, Metallic Gold, Metallic Red และ Metallic Blue

ประสบการณ์ด้านถ่ายภาพ

ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพและมองเห็นภาพที่ถ่ายได้ในเวลาเดียวกันไม่ต้องสลับโหมดถ่ายภาพและ Gallery ไปมาด้วยฟีเจอร์ Capture View Mode ที่จะแสดงภาพหรือวิดีโอที่ถ่ายไปล่าสุดถึง 5 ภาพบริเวณจอด้านล่าง ในขณะที่ยังใช้งานโหมดกล้องที่จอด้านบน

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Auto Framing ที่สามารถจับโฟกัสบุคคลหรือวัตถุในเฟรมขณะที่เคลื่อนไหวระหว่างการถ่ายวิดีโอในโหมด Hands-free ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะเป็นจุดโฟกัสในวิดีโออยู่เสมอ

ด้วยฟีเจอร์ Dual Preview ช่วยให้คุณได้ภาพที่ถูกใจ โดยผู้ที่ถูกถ่ายสามารถมองเห็นตัวเองในหน้าจอด้านนอกและจัดท่าทางที่ต้องการได้ในขณะที่จะถ่าย ในขณะผู้ถ่ายสามารถจัดองค์ประกอบของภาพโดยการมองจากหน้าจอหลักด้านในได้เวลาเดียวกัน นอกจากนี้ Rear Camera Selfie ยังให้คุณถ่ายเซลฟี่ความละเอียดสูงด้วยกล้องหลังก็ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

Galaxy Z Fold2 5G มาพร้อมกล้องระดับโปร 5 ตัว พร้อมฟีเจอร์การถ่ายภาพแบบมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็น Pro Video mode, Single Take, Bright Night และ Night Mode

Galaxy Z Fold2 5G ประสิทธิภาพการทำงานขั้นสูงสุด

Galaxy Z Fold2 5G จัดวาง Layout ของหน้าจอได้อย่างอิสระและง่ายยิ่งขึ้นด้วยฟีเจอร์ Multi-Active Window เพื่อให้สามารถเปิดใช้งานพร้อมกันสูงสุดถึง 3 หน้าจอได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยรูปแบบของ Multi-Window Tray รุ่นใหม่นี้ยังเพิ่มความสะดวกไปอีกขั้นด้วยฟังก์ชัน App Pair จับคู่แอปพลิเคชันที่เปิดใช้บ่อยๆ ไว้ในแถบควบคุมด้านข้าง รวมถึงการส่งข้อความ รูปภาพ ไปจนถึงไฟล์งานต่างๆ ข้ามแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดายเพียงการลากและวาง หรือส่งภาพแคปเจอร์หน้าจอไปยังอีกแอปหนึ่งได้อย่างรวดเร็วผ่านฟีเจอร์ Split Screen Capture

พร้อมทั้ง มอบประสบการณ์การรับชมภาพและการใช้งานแอปพลิเคชันโปรด อาทิ Gmail, YouTube หรือ Spotify ได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้หากใช้งานหน้าจอหลักผ่านแอปพลิเคชัน Office ของ Microsoft 365 จะทำให้ผู้ใช้สัมผัสการใช้งานเหมือนการใช้งานแท็บเล็ต ยกตัวอย่างเช่น หน้าต่างของ Microsoft Outlook จะแสดงกล่องข้อความที่ด้านซ้ายพร้อมกับข้อความที่ด้านขวา หรือฟังก์ชันแถบเครื่องมือใน Microsoft Word, Excel และ PowerPoint จะจัดวางอยู่ในตำแหน่งเดียวกับในคอมพิวเตอร์ PC เป็นต้น

รวมถึงการทำงานรวมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ซัมซุง ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Google ทำให้ซัมซุงได้สร้าง Ecosystem ใหม่ให้กับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ เพื่อต่อยอดการพัฒนาด้าน UX ให้สอดรับกับ Form Factor ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ การร่วมมือกับ Microsoft อย่างต่อเนื่อง ยังได้ช่วยยกระดับการใช้งานสมาร์ทโฟนสุดล้ำเครื่องนี้ไปอีกขั้น เพื่อให้ผู้ใช้ Galaxy Z Fold2 ได้สัมผัสประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดบนดีไวซ์ในมือ

ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 5G ความเร็วสูงอย่างเต็มรูปแบบ มาพร้อมแบตเตอรี่ทรงพลัง 4,500mAh และระบบชาร์จไว จึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ Wireless Samsung DeX สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับสมาร์ททีวีเพื่อใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ จากสองหน้าจอได้พร้อมกันแบบไร้สาย พร้อมกันนี้ ยังมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี UWB (Ultra-Wideband) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลหรือไฟล์ต่างๆ ให้กับกาแลคซี่ดีไวซ์รอบตัวได้อย่างรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น

ซัมซุงมอบเอกสิทธิ์พิเศษสำหรับลูกค้าสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้อย่าง Galaxy Z Fold2 ด้วยที่สุดแห่งการดูแลเหนือระดับกับ Galaxy Z Premier Service มอบบริการช่วยเหลือพิเศษและการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากซัมซุง เพื่อมอบความสะดวกสบายขั้นสูงสุดในการเข้ารับบริการ นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถสมัครบริการ Samsung Care+ รับประกันอุบัติเหตุตัวเครื่อง คุ้มครองเปลี่ยนหน้าจอ 1 ครั้ง ในระยะเวลา 1 ปี[20] พร้อมบริการส่งช่างเทคนิคถึงที่ สำหรับประเทศไทย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/offer/samsung-care-plus1/

Galaxy Z Fold2 5G สมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เจเนอเรชันที่ 3 จากซัมซุง เปิดตัวด้วย 2 เฉดสีสุดพรีเมียมอย่าง Mystic Bronze และ Mystic Black โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ Galaxy Z Fold2 5G และ Galaxy Z Fold2 Thom Browne Edition ได้ที่ www.samsung.com/th

Beoplay E8 Sport หูฟังไร้สายสำหรับออกกำลังกาย รุ่นแรกจาก Bang & Olufsen

เปิดตัวหูฟังไร้สาย Beoplay E8 Sport ออกแบบมาเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการเล่นกีฬาผ่านเสียงเพลง นับเป็นหูฟังสปอร์ตรุ่นแรกจากแบรนด์ Bang & Olufsen

สมรรถนะสุดล้ำ ดีไซน์สวยสะกดตา

สมรรถนะไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยความสวยงาม เพราะ Beoplay E8Sport โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพเสียงและดีไซน์ระดับโลก สร้างนิยามใหม่ให้กับหูฟังเพื่อการเล่นกีฬาที่ทั้งสวยงามและทรงประสิทธิภาพ หูฟังบรรจุมาในกล่องชาร์จไร้สายขนาดกะทัดรัด ซึ่งผสมผสานวัสดุที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะจากวงการกีฬาไม่ว่าจะเป็นยางและซิลิโคนที่มีลวดลายพื้นผิว เข้ากับอลูมิเนียมอโนไดซ์ที่แข็งแรงทนทาน และป้องกันการสึกกร่อนซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของ Bang & Olufsen มากว่า 50 ปี

ตัวหูฟังมาพร้อมกับวงแหวนอลูมิเนียมอโนไดซ์ที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์หูฟังไร้สายของ Bang & Olufsen ส่วนโลโก้ Bang & Olufsen ก็ได้รับการออกแบบขึ้นมาใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวกลมกลืนเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัว นอกจากนี้แล้ว รายละเอียดการออกแบบที่เกิดจากความใส่ใจ เช่น สันบนตัวหูฟัง ยังช่วยให้คุณปรับหูฟังได้สะดวกขณะมือเปียกและมีเหงื่อ โดยไม่ต้องหยุดเคลื่อนไหวหรือเสียสมาธิขณะวิ่งโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังสามารถสลับเพลง รับโทรศัพท์ และเปิดใช้งาน Transparency Mode ด้วยการแตะหรือปัดนิ้วได้อย่างง่ายดาย 

Beoplay E8Sport ผ่านการรับรองมาตรฐาน IP57 จึงกันฝุ่น เหงื่อ และน้ำได้ลึกสุด 1 เมตรเป็นเวลา 30 นาที ทั้งยังมาพร้อมกับจุกหูฟัง 5 ขนาด และปีกอีก 3 ขนาดที่ช่วยให้สวมกระชับพอดี เพื่อให้คุณจดจ่อกับการออกกำลังกายโดยไม่สูญเสียคุณภาพเสียงและกังวลกับเรื่องความปลอดภัยเลย นอกจากนี้ Bluetooth 5.1, AAC และ aptX codecs ยังเป็นเครื่องรับประกันคุณภาพการเชื่อมต่อและเสียงเพลงบนอุปกรณ์ iOS และ Andriod ทุกชนิดอีกด้วย  

Beoplay E8 Sport ราคา และ การวางจำหน่าย

Beoplay E8Sport ราคา 12,900 บาท มาพร้อมกับกล่องชาร์จไร้สายสวยหรู จุกหูฟัง 5 ขนาด ส่วนปีก 3 ขนาด และสายชาร์จ USB โดยจะเปิดตัวใน Oxygen Blue and Black

มีวางจำหน่ายในร้าน Bang & Olufsen Gaysorn, Dotlife, Studio7, iStudio by Copperwired, iStudio by SPVI, King Powerมั่นคงแก็ดเจ็ท, Beyond d Box, Discovery Retail/ Digital LabLazada B&O Flagship StoreShopee Bang&Olufsen Official Shop425degree.comMercular.com และร้านค้าปลีกอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตจาก B&O ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2020 ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดตามการสนทนาได้ที่ @bangolufsen บน Instagram, Facebook, Twitter and YouTube โดยใช้แฮชแท็ก #BeoplayE8Sport

RAZER X PRODUCTIVITY SUITE ชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สุดล้ำเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า

Razer เปิดตัว Razer X Productivity Suite ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่เข้ามาเสริมกำลังชาวออฟฟิศ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยีขั้นสูงจาก Razer โดยร่วมมือกับ Humanscale ผู้นำด้านการยศาสตร์ในที่ทำงานระดับโลก เปิดตัวด้วย ‘Pro Click Mouse’, ‘Pro Type Keyboard’ และ ‘Pro Glide Surface’ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น และมาในรูปแบบดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัยเหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นมากยิ่งขึ้น 

Razer X Productivity Suite เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นด้วยวิศวกรรมการผลิตที่เหนือกว่า รวมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ปรับปรุงพัฒนาคุณภาพอุปกรณ์ให้มีความทนทานต่อการใช้งาน Razer ใช้ประสบการณ์ตรงที่มีมาอย่างยาวนานในการสร้างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับการเล่นเกมที่มีประสิทธิภาพสูง ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาสู่ผลิตภัณฑ์สำนักงานที่ออกแบบร่วมกับ Humanscale  เพื่อให้ได้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับสำนักงานที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเทคโนโลยีหรือจะเป็นงานดีไซน์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ออกแบบมาอย่างถูกต้องตามหลักการยศาสต์สากลเพื่อให้เข้ากับทุกลักษณะการทำงาน อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงานเป็นเวลานานด้วย ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบาย ด้วยพื้นผิวสีขาวและไฮไลท์สีเทาอ่อน ๆ สุดคูล Razer X Productivity Suite ช่วยรังสรรค์พื้นที่ทำงานของคุณให้ดูทันสมัย สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว มอบความรวดเร็ว แม่นยำและความทนทานในการใช้งาน ตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานยุคใหม่

อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำนักงานส่วนใหญ่มีมาตรฐานการออกแบบและเทคโนโลยีที่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกคน ทำให้ผู้ใช้บางคนอาจไม่พอใจในลักษณะการใช้งานบางประการ และก่อให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานด้วย “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับ Razer Productivity Suite ที่เราเปิดตัวในวันนี้กับ Humanscale ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีของเรา เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมที่ผสมผสานกันของเราจะยกระดับประสิทธิผลในสถานที่ทำงานเป็นอย่างดี” Alvin Cheung รองประธานอาวุโสของหน่วยธุรกิจอุปกรณ์ต่อพ่วงของ Razer กล่าว

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มีสไตล์ของ Razer Productivity Suite แต่แอบแฝงด้วยโครงสร้างอันแข็งแรงและส่วนประกอบคุณภาพสูงที่ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ทนทาน ด้วยปุ่มบนเมาส์ Pro Click ที่ได้รับการจัดอันดับความทนทานสูงสุดจากการทดสอบถึง 50 ล้านรอบ รวมทั้งสวิตช์บนแป้นพิมพ์ Pro Type ได้รับการทดสอบความทนทานสูงสุดถึง 80 ล้านรอบ เรียกได้ว่า Razer Productivity Suite เป็นผลิตภัณฑ์สำนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความทนทานและอายุการใช้งานที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

Razer Pro Click

ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง Razer และ Humanscale ผู้ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ที่ช่วยพัฒนาสุขภาพและความสะดวกสบายในชีวิตการทำงานตามหลักสรีรศาสตร์ชั้นนำของโลก เมาส์ Razer Pro Click ได้รับการออกแบบมาเฉพาะเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการใช้เมาส์ทำงานในระยะยาว นั่นหมายรวมถึง Tendonitis และ Carpal Tunnel Syndrome ด้วย เมาส์ Razer Pro Click ได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อจัดตำแหน่งข้อมือของผู้ใช้ในมุมที่เป็นกลาง 30 องศา ดังนั้นจึงป้องกันความรู้สึกไม่สบายและการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการหมุนข้อมือ นอกจากนี้ Razer Pro Click ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีขนาดของมือที่แตกต่างกัน ปรับความกระชับ รองรับเข้ากับฝ่ามือ โดยรวมเอาส่วนของนิ้วโป้งไปจนถึงนิ้วก้อย สามารถลดความเครียดจากการสัมผัสกับโต๊ะทำงานและบรรเทาอาการเมื่อยมือและแขนได้อย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์ที่ได้คือเมาส์คุณภาพสูง ส่งมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ลดความเมื่อยล้าระหว่างทำงานในระยะยาว และที่สำคัญคือส่งมอบความแม่นยำและประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างสูงสุดจาก Razer 

“เป้าหมายของ Humanscale คือการทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีและได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการทำงาน การร่วมมือกันกับ Razer ในครั้งนี้ ทำให้เรามีโอกาสได้คิดค้นงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงความแตกต่างกันของกายภาพ รังสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งานของทุกไลฟ์สไตล์ เมาส์ไร้สาย Razer Pro Click ใช้ประสบการณ์อันเชี่ยวชาญของเราบวกกับหลักการยศาสตร์ในการออกแบบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการใช้งานผลิตภัณฑ์สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีและประสิทธิภาพการทำงานที่แม่นยำยิ่งขึ้น” Allan Escoto ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ระดับโลก Monitor Arms & Technology Solutions ของ Humanscale กล่าว

ด้วย Advanced 5G Optical Sensor ของ Razer การเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลายช่องทางเป็นสิ่งที่สามารถทำได้แบบไม่มีสะดุด และด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นกว่า 400 ชั่วโมง เมาส์ Pro Click จึงเป็นอุปกรณ์ในฝันที่มีคุณสมบัติครบครัน เหมาะสำหรับพนักงานโต๊ะที่ต้องการความแม่นยำและความน่าเชื่อถือตลอดเวลา

  • ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • Razer 5G Advanced Optical Sensor
  • ความทนทานสูงสุดจากการคลิกทดสอบกว่า 50 ล้านรอบ
  • การเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลากหลายมากกว่า 4 ช่องทาง
  • ปุ่มตั้งโปรแกรมพิเศษมากถึง 8 ปุ่ม
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นกว่า 400 ชั่วโมง 

Razer Pro Type

ศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพคือ Keyboard ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานได้สะดวกรวดเร็วและตอบสนองได้ดี เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดและความเมื่อยล้าน้อยที่สุด แป้นพิมพ์ของ Razer Pro Type มีการเคลือบผิวสัมผัสที่นุ่มนวลเพื่อความสบายในการพิมพ์ตลอดทั้งวันและใช้ Orange Mechanical Switches ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Razer ให้การกดแป้นที่เงียบ แต่สัมผัสได้เพื่อการพิมพ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ ด้วยการเชื่อมต่อไร้สายและบลูทูธสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์สูงสุด 4 เครื่อง Razer Pro Type มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนการตั้งค่าให้เหมาะสมกับแต่ละที่ทำงาน ทำให้เกิดความสมดุลของประสิทธิภาพและความสะดวกสบายสูงสุด

  • ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • เคลือบผิวสัมผัสที่นุ่มนวลเพื่อความสบายในการพิมพ์ตลอดทั้งวัน 
  • Razer orange mechanical กรรมสิทธิ์ของ Razer สำหรับการกดแป้นที่เงียบ
  • ความทนทานสูงสุดจากการกดทดสอบกว่า 80 ล้านรอบ
  • การใช้งานแบบไร้สายและการเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลากหลายมากกว่า 4 ช่องทาง
  • ปุ่มที่ตั้งโปรแกรมได้อย่างสมบูรณ์พร้อมปุ่มบันทึกมาโคร
  • ไฟแบบ White LED backlit 

Razer Pro Glide

เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ Razer Productivity Suite ด้วยพื้นผิวของ Razer Pro Glide ซึ่งไม่เพียงแต่เข้ากับโทนสีที่ทันสมัยและสร้างความน่าเชื่อถือให้ห้องทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมคุณสมบัติของเมาส์ Razer Pro Click ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย พื้นผิวสานไมโครเท็กซ์เจอร์ที่ทนทานเป็นชั้น การติดตามเมาส์ที่ความเร็วสัมพันธ์เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการชี้ที่รวดเร็วแม่นยำและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ทำให้ผู้ใช้ปราศจากความกระวนกระวายใจ

  • พื้นผิวผ้าทอไมโครเท็กซ์เจอร์
  • แผ่นรองโฟมหนาและมีความหนาแน่นสูง
  • มีพื้นผิวกันกระแทกเพื่อความสบายในการใช้งานในระยะยาว
  • แผ่นรองกันลื่น
  • ขนาด: 360x275x3mm

ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย:

  • Razer Pro Click: $99.99 USD
  • Razer Pro Type: $139.99 USD
  • Razer Pro Glide: $9.99 USD

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.razer.com/productivity 

DualShock 4 Back Button Attachment ปุ่มเสริมติดหลังจอย เลือกเซ็ตเองได้

อุปกรณ์เสริมใหม่สำหรับ PlayStation 4 นี่คือ DualShock 4 Back Button Attachment ปุ่มเสริมด้านหลังที่ตั้งโปรแกรมได้เอง สำหรับการเล่นเกมระดับมือโปร

Sony Interactive Entertainment เปิดตัว อุปกรณ์เสริมใหม่ ที่นำมาใช้ติดตั้งกับตัวจอย DualShock 4 เพื่อเพิ่มปุ่มกดที่ด้านหลัง 2 ปุ่ม โดยเราสามารถเลือกโปรแกรมให้ทั้ง 2 ปุ่มนี้เป็นปุ่มอื่นได้ เพื่อให้สามารถกดบังคับในการเล่นบางเกมได้ดีขึ้น โดยที่จะมีหน้าจอ OLED แสดงผลบอกว่าเลือกเป็นปุ่มอะไร รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และตั้งเซฟเก็บเป็น Profile ได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีช่องสำหรับเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร เพื่อใช้เสียบกับหูฟังเพื่อฟังเสียงในเกมแบบไร้สาย เป็นอุปกรณ์เสริมที่ทาง PlayStation ออกแบบมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกม PS4 และ PS VR ได้คล่องมือยิ่งจึ้น

DualShock 4 Back Button Attachment กำหนดเริ่มวางจำหน่ายที่อเมริกาและแคนนาดา วันที่ 23 มกราคม 2020 ในราคา $29.99 หรือประมาณ 900 บาท

ข้อมูลจาก PlayStation

Logitech LIGHTSPEED G502 G604 และ G913 ยกระดับการเล่นเกมแบบมือโปร

โลจิเทค จี แบรนด์อุปกรณ์เกมมิ่งภายใต้แบรนด์ Logitech เผยโฉม LIGHTSPEED Series อุปกรณ์เกมมิ่งไร้สายซีรีย์ใหม่ล่าสุด G502, G604 เกมมิ่งเมาส์ และ G913 เกมมิ่งคีย์บอร์ดไร้สาย ปฎิวัติวงการเกมยกระดับเกมเมอร์สู่นักเล่มเกมมือโปร

G502 LIGHTSPEED 

เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย ถูกออกแบบให้มีความเสถียรและเที่ยงตรงสูง ประสิทธิภาพไร้สายระดับมืออาชีพที่มือโปร E-Sport ให้ความไว้วางใจ กับการออกแบบให้ G502 มีทั้งความทันสมัยและไร้ขีดจำกัดเหนือกาลเวลา ด้วยความทนทานของแบตเตอรี่ และระบบชาร์ตไร้สายบน POWERPLAY ที่ให้เกมเมอร์สนุกไปกับการเล่นแบบไม่มีสะดุดด้วยแผ่นรองเมาส์ที่สามารถชาร์ตไฟได้ตลอดการใช้งาน พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยเซ็นเซอร์ HERO 16K เจเนอเรชั่นใหม่ G502 มีการออกแบบโครงด้านนอกและโครงสร้างภายในที่ล้ำหน้ามีความบาง น้ำหนักเบาเป็นพิเศษ

เมาส์ไร้สาย G502 มีปุ่มตั้งโปรแกรมได้ 11 ปุ่มที่สามารถปรับแต่งคำสั่งได้ผ่าน Logitech G HUB ซอฟต์แวร์ นอกจากนี้เมาส์ยังมีล้อเลื่อน Hyper-fast การออกแบบล้อเลื่อนที่หมุนได้อิสระเพื่อการเลื่อนที่รวดเร็วและลื่นไหล สลับไปมาระหว่างสองโหมดได้เร็วและง่ายแบบ Dual Mode และระบบปรับน้ำหนัก เพื่อให้ผู้เล่นสามารถปรับน้ำหนักและความสมดุลของเมาส์ให้เหมาะกับสไตล์การเล่น

เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย Logitech G502 LIGHTSPEED มีวางจำหน่ายแล้วในราคา 4,999 บาท

G604 LIGHTSPEED 

เกมมิ่งเมาส์ไร้สายที่พัฒนาขึ้นสำหรับเกมเมอร์ และการใช้งานเอนกประสงค์ได้หลากหลายรูปแบบ พร้อมด้วยฟีเจอร์ LIGHTSPEED เอกสิทธิ์เฉพาะของโลจิเทค จี สำหรับการเชื่อมต่อที่รวดเร็วไหลลื่น มาพร้อมเซ็นเซอร์ HERO 16K ให้การเล่นเกมส์เป็นไปอย่างแม่นยำ เป็นเมาส์สำหรับนักต่อสู้ มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 240 ชั่วโมง เมื่อใช้โหมด LIGHTSPEED หรือใช้งานได้นานกว่า 5 เดือน เมื่อเชื่อมต่อบลูทูธ จากการใช้เพียงถ่าน AA เพียง 1 ก้อน นอกจากนี้ผู้เล่นสามารถสลับจากโหมด LIGHTSPEED ไปสู่การเชื่อมต่อบลูทูธกับอุปกรณ์อื่นได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีสะดุดได้เพียงคลิกเดียว ความโดดเด่นของ G604 มาพร้อมกับปุ่มควบคุมที่ตั้งโปรแกรมได้ 15 ปุ่ม ผ่านซอฟต์แวร์ Logitech G HUB 

Logitech G604 LIGHTSPEED วางจำหน่ายแล้วในราคาเพียง 3,299 บาท

G913 LIGHTSPEED 

คีย์บอร์ดเกมมิ่ง เชิงกลไร้สาย คีย์บอร์ดพรีเมี่ยมจากโลจิเทค จี ด้วยเทคโนโลยี LIGHTSPEED ไร้สายความไวแสง รายงานความเร็วระดับ 1 มิลลิวินาที เทคโนโลยีเดียวกันกับที่มือโปร E-Sport ทั่วโลกให้ความไว้วางใจในการแข่งขัน และคุณภาพที่มืออาชีพต้องการกับความสามารถใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมงต่อวัน G913 LIGHTSPEED ยังรวมเอา G-Keys ที่ปรับแต่งได้ และโปรไฟล์ออนบอร์ด แปลง G913 เป็นศูนย์บัญชาการสำหรับพีซีเพียงปลายนิ้วสัมผัส ยังเป็นคีย์บอร์ดรุ่นแรกที่มาพร้อมกับสวิตช์เชิงกล GL คุณภาพสูงรูปแบบใหม่ที่ให้ทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และประสิทธิภาพเทียบเท่ากับสวิตช์ดั้งเดิม สวิตช์ GL ได้รับการทดสอบ ด้านความทนทาน การตอบสนอง และความแม่นยำ มีสวิตช์สามประเภทให้เลือก ได้แก่ GL Clicky – ได้ยินเสียงคลิกและมีแรงสะท้อนกลับ, GL Tactile – เพียงกดเบาๆ ก็รู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนกลับ, GL Linear – การกดปุ่มที่นุ่มนวลอย่างแท้จริง โดยยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี LIGHTSYNC RGB ที่ผู้เล่นสามารถปรับแสงสีไปพร้อมจังหวะการเล่นได้ตามต้องการ และถึงแม้จะใช้งานแสง RGB เกมเมอร์ก็ยังสามารถสนุกกับการเล่นเกมส์บนคีย์บอร์ดได้นานถึง 12 วันต่อการชาร์ตเพียง 1 ครั้ง (กรณีเปิดใช้งานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน) 

Logitech G913 LIGHTSPEED มีวางจำหน่ายแล้วในราคา 8,999 บาท

เทคโนโลยี LIGHTSPEED ถือเป็นครั้งแรกในวงการอุปกรณ์เกมมิ่ง ที่นำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำ LIGHTSYNC RGB ที่อยู่บน LIGHTSPEED ซีรีย์ อุปกรณ์เกมมิ่งไร้สายทุกรุ่น ที่สามารถปรับแต่งสีสันในแบบฉบับของผู้เล่นแต่ละคนได้ โดยมีสีสันให้เลือกมากถึง 16.8 ล้านสี ผ่าน Logitech G Hub ซอฟต์แวร์เกมส์ขั้นสูง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเล่มเกม ด้วยเอฟเฟ็คแสง RGB ที่สมจริงที่สุด

Transcend HUB5C 6 in 1 USB 3.1 Gen 2 Type-C Hub สำหรับ MacBook

Transcend HUB5C ครั้งแรกของ Hub ที่เป็นอินเทอร์เฟสแบบ USB 3.1 Gen 2 Type-C สามารถใช้งานในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงถึง 10Gb/s

ทรานส์เซนด์ อินฟอร์เมชัน อิงค์ (Transcend) ผู้นำผลิตภัณฑ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์มัลติมีเดีย เปิดตัว USB 3.1 Gen 2 Type-C Hub รุ่น HUB5C ที่รองรับ 6 ฟังก์ชันการใช้งานใน 1 เดียว เหมาะสำหรับการใช้งานร่วมกับ MacBook®, iPad Pro® 2018, โน้ตบุ๊กที่มี Type-C laptops และสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่ใช้ USB Type-C อุปกรณ์นี้จะช่วยเพิ่มพอร์ต USB-C และ USB-A เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมไปถึงยังสามารถชาร์ตไฟให้กับอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ ผ่านทางพอร์ตเหล่านี้ได้อีกด้วย รวมไปถึงสามารถอ่านการ์ดหน่วยความจำได้ทั้ง SD Card และ microSD Card ได้ในตัว เป็นการเพิ่มขีดความสามารถและขยายความสามารถของพอร์ต USB Type-C ได้อย่างลงตัว

ในขณะที่อุปกรณ์ต่าง ๆ มีแนวโน้มการออกแบบที่เรียบง่าย ดังจะเห็นได้จากโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ นั้นจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อมาให้น้อยมาก เช่นอาจจะมีพอร์ต USB Type-C มาให้หนึ่งหรือสองพอร์ตเท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้ต้องการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลายไปพร้อม ๆ กัน Transcend HUB5C เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยขยายพอร์ต USB Type-C ให้สามารถรองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น และรองรับงานหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ช่วยลดข้อจำกัดจากพอร์ต USB Type-C เดิมที่มีจำนวนจำกัด

การเชื่อมต่อใช้คอนเน็ตเตอร์ USB Type-C และมาพร้อมกับสายสัญญาณที่มีความแข็งแรงทนทาน รองรับ USB 3.1 Gen 2 ที่ให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดภึง 10Gb/s และยังสามารถรองรับการชาร์ตอุปกรณ์ด้วยกำลังไฟฟ้าที่สูงถึง 60W มาพร้อมกับพอร์ต USB Type-A สองช่องพร้อมรองรับ USB 3.1 Gen 1 สำหรับอุปกรณ์รุ่นเก่า และมีช่องอ่าน SD Card ในตัวที่รองรับมาตรฐาน UHS-IIและ UHS-I รวมถึงรองรับ microSD การ์ดอีกด้วย

Transcend HUB5C คือ USB 3.1 Gen 2 รายแรกของตลาด

ถือว่านี่คือ USB Type-C hub รุ่นแรกในตลาดที่มีอินเทอร์เฟซ USB 3.1 Gen 2 สำหรับอัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงถึง 10Gb/s หรือสองเท่าของ USB 3.1 Gen 1 และถ้าเราใช้ Hub รุ่นนี้คู่กับSSD แบบพกพารุ่น ESD350C ของทรานส์เซนด์ที่ใช้อินเทอร์เฟซแบบ PCIe ที่เร็วที่สุด ก็จะทำให้ความเร็วในการโอนย้ายข้อมูลได้สูงประมาณ  1,000 MB/s ด้วยความเร็วระดับนี้เองที่ทำให้ HUB5Cเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความเร็วในการโอนย้ายข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ กับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ก หรือสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด

การชาร์จไฟผ่านพอร์ต Type-C ของ HUB5C เป็นไปตามมาตรฐาน USB PD 3.0 และอนุญาตให้ส่งผ่านกำลังไฟได้ถึง 60W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อเครื่องชาร์จของผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเข้ากับพอร์ตหรือใช้พลังงานสำรองที่รองรับโปรโตคอล USB PD

HUB5Cสามารถทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องอ่านการ์ด SD และ microSD พร้อมช่องเสียบการ์ดคู่ที่รองรับมาตรฐาน UHS-II และ UHS-I ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าหลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้วผู้ใช้สามารถนำการ์ด SD หรือ microSD และเข้าถึงไฟล์ได้โดยตรงจากโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์มือถือ  ด้วยคุณสมบัติอันโดดเด่นที่น่าประทับใจและมีน้ำหนักเบาพกพาได้ง่าย ทำให้ Transcend HUB5C เป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้งานง่าย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นอย่างดี

ทรานส์เซนด์ มีผลิตภัณฑ์ Typer-C ที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน

ทรานส์เซนด์นำเสนอผลิตภัณฑ์ USB Type-C ที่หลากหลายที่มีพอร์ตหรือคอนเนคเตอร์ Type-C รวมถึงฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก, โซลิดสเตทแบบพกพา, ไดรฟ์ USB, แฟลชไดรฟ์ และเครื่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ อุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้ถ่ายโอนไฟล์ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพระหว่างเดสก์กับโน้ตบุ๊ก โดยสามารถใช้งานร่วมกับเดสก์ท็อป โน้ตบุ๊ก และคอมพิวเตอร์ Mac® ที่มีอินเตอร์เฟส USB Type-C หรือ USB 3.1รวมถึงสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่รองรับฟังก์ชั่น OTG (On-The-Go)

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม https://th.transcend-info.com

Zeiss ZX1 กล้องฟูลเฟรม จบหลังกล้อง ด้วย Adobe Lightroom CC ในตัว

Zeiss ปล่อยคลิปการทดสอบกล้อง Zeiss ZX1 ที่เผยให้เห็นประสิทธิภาพที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเลนส์ภาพ แต่ยังมีการทำงานที่ฉลาด แถมยังมี Adobe Lightroom CC สำหรับใช้แต่งภาพได้ทันทีที่หลังกล้องได้เลย

ตัวหน้าจอด้านหลังจะเป็นแบบทัชสกรีนขนาดใหญ่ถึง 4.3 นิ้ว นั่นก็เพื่อให้เราสามารถปรับแต่งค่าสีของภาพ ด้วย Adobe Lightroom CC ที่มีอยู่ในได้อย่างสะดวก มีช่องมองภาพแบบ electronic viewfinder ขนาด 0.7 นิ้ว เชื่อมต่อไร้สายผ่าน Wi-Fi และ Bluetooth แบตเตอรี่ความจุ 3190 mAh มีหน่วยความจำในเครื่องให้มา 512GB

ตัวเซนเซอร์เป็นแบบฟูลเฟรม 37.4 ล้านพิกเซล ISO ปรับได้ตั้งแต่ 80-51200 เลนส์ขนาด 35 มม. f/2.0 ระยะโฟกัสใกล้สุดที่ 30 เซนติเมตร ความเร็วในการเก็บภาพต่อเนื่องได้ 3fps และถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K 30fps

Zeiss ZX1 ราคา ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มขายในช่วงต้นปี 2019 นี้

ข้อมูลจาก : Peta Pixel