คลังเก็บหมวดหมู่: PR News

AIS SIM2Fly ใช้ได้แล้วที่จีน จ่ายแค่วันละ 50 บาท เล่นเน็ตได้ 4GB Non-Stop

เอไอเอส ขยายการให้บริการ AIS SIM2Fly ซิมโรมมิ่งต่างประเทศ สำหรับกลุ่มประเทศเอเซีย ใช้ได้แล้วในประเทศจีน ด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า ใช้ได้บน 2 เครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในจีน ทั้ง China Unicom และ China Mobile ด้วยแพ็กเกจราคาสุดคุ้ม เพียงวันละ 50 บาท สามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์แบบ Non-Stop พร้อมท่องโซเชียลได้ครบทุกแอปฯ สุดฮิต อาทิ Facebook, LINE และ Google จัดเต็มตลอดทริป

เอไอเอส เปิดให้บริการ AIS SIM2Fly ประเทศจีน ครอบคลุมกว่า! ใช้งานได้บน 2 เครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในจีน เล่นเน็ตแบบ Non-Stop ได้ครบทุกแอปฯ โซเชียลฮิต

โดย SIM2Fly ราคา 399 บาท (รวม VAT) ใช้เน็ตโรมมิ่งแบบ Non-Stop ความเร็วสูงสุด 4GB หลังจากนั้นความเร็วลดลงที่ 128 kbps ใช้งานได้ 8 วัน สามารถใช้งานได้ถึง 18 ประเทศคือ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง, ลาว, อินเดีย, ไต้หวัน, มาเก๊า, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, พม่า, ออสเตรเลีย, เนปาล, อินโดนีเซีย, กาตาร์ และศรีลังกา

ลูกค้าสามารถซื้อ SIM2Fly ได้ง่ายๆ ที่ AIS Shop ทุกสาขาทั่วประเทศ และ AIS Online Store ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.co.th หรือ เอไอเอส คอลเซนเตอร์ โทร. 1175

STAY TOGETHER STRONG TOGETHER เพลงให้กำลังใจทีมหมูป่า โดยผู้แข่งขันรายการ

มาด้วยใจ! กันเต็มๆ เมื่อเหล่าผู้แข่งขันจากรายการ Show Me The Money Thailand รวมตัวกันสร้างสรรค์บทเพลงพิเศษ Stay Together Strong Together ส่งต่อกำลังใจให้กับทีมหมูป่า และหน่วยงานต่างๆ ทุกพลัง ที่ให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ ผ่าน Rhyme ที่พวกเราตั้งใจแต่งกันขึ้นมา

STAY TOGETHER STRONG TOGETHER

  • Produced by: แชมป์ ศุภวัฒน์, Dif Kids, Silly B, Bigbest, Bankks, Sugar Bubble, Damnsweet, และ YUKI
  • Beat produced by: BossaOnTheBeat
  • Studio Recording: Escape Music Studio

 

Xiaomi Redmi S2 เมื่อ AIS จับมือกับเสียวหมี่ ทำโปรฯ ราคาพิเศษ

เอไอเอส ประกาศความร่วมมือกับ เสียวหมี่ เปิดตัวสมาร์ทโฟน Xiaomi Redmi S2 ราคา ไม่แพง เน้นสเปคดี ที่มาพร้อมแพ็คเกจใช้งานสุดคุ้มจาก AIS

Xiaomi Redmi S2

สุดยอดสมาร์ทโฟนที่คอไฮเทคทุกคนรอคอย ด้วยสเปกเครื่องระดับ Hi-End ฟีเจอร์แน่น ครบเครื่อง ในราคาที่จับต้องได้ ถือว่าคุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่มาพร้อมกล้อง Intelligent ยอดอัจฉริยะ กล้องหน้า 16MP พร้อมโหมดปรับความงาม Beautify 4.0 และ Selfie Flash และกล้องหลังคู่ 12 MP + 5 MP พร้อมโหมด AI Portrait ซึ่งโดดเด่นด้วยเทคโนโลยี AI ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง เพื่อการถ่ายภาพแบบช่างภาพมืออาชีพ

หน้าจอใหญ่คมชัด สีสด ขนาด 5.99 นิ้ว รองรับการใช้งานระบบ 2 ซิมการ์ด 4G แบบ Nano SIM และชิปประมวลผล  Qualcomm Snapdragon 625 (ความเร็วประมวลผลสูงสุด 2.0 GHz) ช่วยให้ใช้งานแบตเตอรี่เต็มประสิทธิภาพบนเครือข่าย 4G ที่ดีที่สุด

เสียวหมี่ “Xiaomi Redmi S2” จากเอไอเอส จะพร้อมวางจำหน่ายทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2561 โดยลูกค้าที่สนใจสามารถมาทดลองใช้งานและสัมผัสเครื่องจริงได้ ที่บูธ AIS ในงาน Thailand Mobile Expo 2018 ตั้งแต่วันที่ 24 – 27 พฤษภาคม 2561 พร้อมเตรียมพบกับข้อเสนอสุดพิเศษจากเอไอเอส ที่เปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนซื้อเครื่องก่อนใคร ทาง  AIS Online Store ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2561 เวลา 9.00 น. (ลูกค้าจะได้รับสินค้าตามที่อยู่จัดส่ง ในวันที่ 8 มิถุนายน 2561 เป็นต้นไป) พิเศษยิ่งกว่า! สำหรับลูกค้าเอไอเอสรายเดือน ที่ลงทะเบียนซื้อเครื่อง 150 ท่านแรก จะได้รับฟรี! Amazfit Bip Smartwatch มูลค่า 2,190 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสาร และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.ais.co.th/xiaomi

HUAWEI nova3e ราคา 10,990 บาท วางขายแล้วทั่วประเทศ

สมาร์ทโฟนเจาะกลุ่ม Mid-Tier แต่สเปคโหดมาก ให้ ROM มาถึง 128GB และยังมีฟีเจอร์กล้องเซลฟี่ที่เอาใจสาวๆ HUAWEI nova3e ราคา 10,990 บาท วางขายแล้วนะจ๊ะ

เอาใจคนรักการเซลฟี่ หัวเว่ย พร้อมวางจำหน่าย HUAWEI nova3e อย่างเป็นทางการในไทย นำเสนอการถ่ายภาพเซลฟี่สวยเป็นธรรมชาติด้วยกล้องหน้าที่มีความละเอียดขนาด 24 ล้านพิกเซล และมี Nude Make up Algorithm ทั้งยังสามารถเซลฟี่ในที่แสงน้อยให้สวยในทุกสถานการณ์ด้วย Light Fusion Portrait Smart Screen Flash เหนือกว่าด้วยการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอจากกล้องหลังคู่ขนาด 16ล้านพิกเซล และ 2 ล้านพิกเซล

เล่นเกมได้ลื่นไหลด้วย RAM ขนาด 4 GB และ ROM ขนาด 128 GB ในระบบปฏิบัติการ Android™ 8.0 และ EMUI 8.0 ชาร์จและถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วด้วย Huawei Fast Charge 2.0 และ USB Type C โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยหน้าจอ HUAWEI FullView Display ขนาด 5.84” และดีไซน์สุดพรีเมี่ยม

HUAWEI nova3e ราคา 10,990 บาท วางจำหน่าย 3 สี ได้แก่ Klein Blue, Midnight Black และ Sakura Pink

Nike Air Zoom Pegasus 35 คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ ปรับเพิ่มคุณสมบัติใหม่

พบกับคุณสมบัติใหม่ (และเอกลักษณ์เดิม) ที่แฟนๆ คุ้นเคยในรองเท้าวิ่งไนกี้ แอร์ ซูม เพกาซัส 35 (Nike Air Zoom Pegasus 35)

ไนกี้ ผู้นำนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์กีฬาระดับโลกฉลองครบรอบ 35 ปีของรองเท้าวิ่งตระกูลเพกาซัส (Pegasus) ด้วยการยกระดับเทคโนโลยีใหม่และปรับแต่งรองเท้าให้เหมาะสมกับผู้สวมใส่ให้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น สำหรับนักวิ่งระดับมือสมัครเล่นไปจนถึงนักวิ่งระยะไกลระดับโลก โดยนักออกแบบของไนกี้ได้ปรับปรุงรองเท้ารุ่นดังกล่าวตามข้อคิดเห็นของนักกีฬาชั้นนำ (รวมถึงความเห็นของ โม ฟาราห์ นักวิ่งระยะไกลชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบรองเท้าวิ่งตระกูลนี้) ผ่านการปรับปรุงองค์ประกอบต่างๆ ของรองเท้า และการรักษาไว้ซึ่งจุดเด่นหรือเอกลักษณ์บางประการ ตามรายละเอียดต่อไปนี้

เอกลักษณ์เดิมที่แฟนๆ คุ้นเคย ใน Nike Air Zoom Pegasus 35

  • กระบวนการตัดเย็บหน้ารองเท้าที่ใช้ผ้าตาข่ายเป็นวัสดุหลัก
  • ส่วนกลางของพื้นรองเท้าประกอบขึ้นจากนวัตกรรมไนกี้ ซูม แอร์ (Nike Zoom Air) และโฟมคุชลอน (Cushlon Foam)

คุณสมบัติใหม่

  • ลิ้นรองเท้าได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีรูปทรงรับกับเท้ายิ่งขึ้น ช่วยให้การถอดหรือสวมใส่สะดวกกว่าเดิม
  • นักออกแบบของไนกี้ขยับตำแหน่งรูร้อยเชือกรองเท้ารูสุดท้ายเพื่อให้หน้ารองเท้ามีพื้นที่มากขึ้น และทำให้เท้าของผู้สวมใส่เคลื่อนไหวได้โดยสะดวก
  • ขอบช่องสวมใส่รองเท้าได้รับการปรับให้อยู่ต่ำกว่าตำแหน่งของตาตุ่ม ช่วยให้สวมใส่ได้สบายขึ้น จากข้อคิดเห็นของนักวิ่งมืออาชีพอย่างโม ฟาราห์ (Mo Farah)
  • บริเวณที่รองรับส้นเท้าถูกปรับเพื่อช่วยให้การสัมผัสพื้นขณะสวมใส่ได้ดีขึ้น (ตัวรองเท้าได้รับการออกแบบที่ดูทันสมัยและปราดเปรียว)
  • ถุงลมไนกี้ ซูม แอร์แบ็ค (Nike Zoom Airbag) ถูกพัฒนาเป็นชิ้นเดียวตลอดพื้นรองเท้า ได้รับการพัฒนาจากรองเท้าไนกี้ ซูม เวเปอร์ฟลาย 4% (Nike Zoom Vaporfly 4%) โดยนักออกแบบของไนกี้ได้ผสานถุงลม 2 ชิ้นซึ่งเป็นแบบที่ใช้ในรองเท้าวิ่งตระกูลเพกาซัสรุ่นก่อนหน้าให้เป็นถุงลมเดียวและมีรูปทรงคล้ายกับแผ่นพื้นคาร์บอนไฟเบอร์ทรงโค้งของรองเท้าไนกี้ ซูม เวเปอร์ฟลาย 4% โดยรูปทรงใหม่ของถุงลมนี้ช่วยตอบสนองต่อการวิ่งได้ดีขึ้น มีความยืดหยุ่นสูงและช่วยเรื่องแรงส่งระหว่างวิ่งได้ดีกว่าเดิม
  • รองเท้าวิ่งไนกี้ แอร์ ซูม เพกาซัส 35 (Nike Air Zoom Pegasus35) สำหรับสุภาพสตรีจะใช้โฟมคุชลอนที่นุ่มเป็นพิเศษ สอดรับกับเท้าของสุภาพสตรีโดยเฉพาะ

LifeProof เปิดตัว เคสกันกระแทก สำหรับ Galaxy S9 และ S9+

เคสกันกระแทกจาก LifeProof (ไลฟ์ปรู้ฟ) ออกแบบสำหรับ Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ กับเคสรุ่น FRĒ และรุ่นใหม่  NËXT และ SLɅM ที่มีให้เลือกหลากหลายสี

เคสรุ่น SLɅM และ NËXT ได้ออกวางจำหน่าย มาพร้อมสีที่คัดสรรแล้ว ในขณะที่ FRĒ จะเปิดตัวเร็ว นี้ เคสLifeProof ทั้งหมดออกแบบ ‘Designed for Samsung’ (ออกแบบเฉพาะสำหรับซัมซุง) ในภายใต้โครงการความร่วมมือ พันธมิตรอุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือ (Partner Mobile Accessory Partnership)

SLɅM เป็นเคสกาแล็กซี่แบบสลิม ถึงแม้จะออกแบบมาให้บาง แต่คุณสมบัติหลักคือป้องกันการตกการกระแทกยังครบถ้วน โดยผ่านการทดสอบการตกที่ 6.6 ฟุต (2 เมตร) และด้านหน้าของเคสดีไซน์ให้กรอบหน้าสูงกว่าหน้าจอมือถือ ช่วยป้องกันไม่ให้หน้าจอกระแทกจากการคว่ำหน้าลง นอกจากนี้ การออกแบบด้วยตัวกรอบสองชิ้น โดยมีส่วนหลังที่โปร่งใส เพื่อโชว์เครื่อง Galaxy ในขณะที่ด้านหน้า เป็นกรอบยางที่แนบสนิท สามารถสัมผัสหน้าจอได้สะดวก และขอบเคสมีสีสันสดใส เจาะช่องสำหรับเสียบหูฟังและชาร์จไฟ และช่องลำโพงเพื่อรักษาคุณภาพเสียงที่น่าทึ่งของ Galaxy

เคสรุ่น NËXT มีชั้นป้องกัน 6 ชั้น ภายใต้แพ็คเกจที่เพรียวบางและทนทานสำหรับ Galaxy S9 และ Galaxy S9 + ช่วยปกป้องมือถือจากการตกกระแทก จากฝุ่นและสิ่งสกปรก และหิมะ ด้วยเคสที่เป็นกรอบนอก 2 ชิ้น ที่ห่อหุ้มมือถือไว้ และกรอบหน้าที่สูงกว่าหน้าจอเพื่อป้องกันหน้าจอตกกระแทก และรักษาจุดแข็งของแบรนด์ LifeProof คือป้องกันการกระแทกได้ถึง 6.6 ฟุต (2 เมตร) และป้องกันสิ่งสกปรกและฝุ่นละอองและกันหิมะระดับ IP-5X

เคสรุ่น FRĒ ป้องกัน 4 ด้าน ด้วยเปลือกหุ้มแบบซองจดหมายประกอบกันสองชิ้นสามารถป้องกันได้ 360 องศา พร้อมกับ screen guard ที่ป้องกันหน้าจอจากรอยขีดข่วน และยังป้องกันน้ำเข้าในระดับน้ำถึง 6.6 ฟุตนานถึงหนึ่งชั่วโมง และได้ผ่านการทดสอบการตกกระแทกไปที่ 6.6 ฟุต และป้องกันสิ่งสกปรก และกันหิมะด้วย

ราคาเคส Lifeproof สำหรับ Samsung Galaxy S9 และ S9+

  • Galaxy S9 รุ่น SLɅM ราคา 1,590 บาท, รุ่น NËXT ราคา 2,190 บาท และรุ่น FRĒ ราคา 2,990 บาท
  • Galaxy S9+ รุ่น SLɅM ราคา 1,890 บาท, รุ่น NËXT ราคา 2,590 บาท และรุ่น FRĒ ราคา 3,390 บาท

จักรยาน ofo เปิดให้บริการ Bike-Sharing แล้วที่ ม.ขอนแก่น

ofo (โอโฟ่) ผู้นำบริการจักรยานสาธารณะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของโลกหรือที่รู้จักกันในคอนเซ็ปต์จักรยานแบ่งปัน หรือ Bike-Sharing รุกขยายบริการทั่วไทยหลังได้รับการตอบรับดีเยี่ยมมียอดผู้ใช้ต่อวันสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก ล่าสุดปักหมุดสมาร์ทซิตี้ลำดับที่ 3 จังหวัดขอนแก่น โดยประเดิมเริ่มเปิดให้บริการแล้วที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา

ofo เริ่มบริการ Bike-Sharing แล้วที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถือเป็นลำดับที่ 3 ในประเทศไทย

นายนพพล ตู้จินดา ผู้จัดการทั่วไป โอโฟ่ ประเทศไทย กล่าวว่า ภายหลังจากที่ได้เริ่มเปิดให้บริการจักรยาน ofoในมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ไม่กี่วันที่ผ่านมา พบว่าได้รับผลตอบรับดีเกินคาด มียอดจำนวนการใช้งานสูงถึงหลายพันเที่ยวต่อวันนับเป็นอัตราการใช้งานที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัตราการใช้งานในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่ ofoได้เริ่มเปิดให้บริการ ซึ่งการขยายการบริการจักรยาน ofoที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการขี่จักรยานที่แพร่หลายมากขึ้นด้วยด้วยจักรยานของ  ofoแล้ว จังหวัดขอนแก่นยังถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายการให้บริการจักรยาน ofoตามกลยุทธ์ขยายบริการในกลุ่มจังหวัด Smart City ตามนโยบายของทางภาครัฐ ซึ่งสำหรับประเทศไทยมีเมืองต้นแบบอยู่ 3 เมืองที่ดำเนินตามแนวทางของSmart City นั่นคือเมืองภูเก็ตเมืองขอนแก่นและเมืองเชียงใหม่ซึ่งที่ผ่านมาofoได้เปิดให้บริการใน Smart City ที่แรกคือภูเก็ตในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และเชียงใหม่ที่เริ่มด้วยการเข้าไปสนับสนุนจักรยาน ofoในการจัดกิจกรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และล่าสุดในจังหวัดขอนแก่นที่ได้เริ่มเปิดให้บริการที่ ม.ขอนแก่นเป็นที่แรก โดยเริ่มให้บริการวันแรกในวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา

“เราเชื่อว่า ofo จะได้รับความนิยมและได้ผลตอบรับที่ดีเช่นการเปิดตัวในหลายมหาวิทยาลัย เห็นได้จากผลตอบรับจากเหล่านักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัยขอนแก่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่นอกจากจะเป็นทางเลือกการเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย และดีต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ด้วยเทคโนโลยีของ  ofoที่จะช่วยให้การใช้งานทำได้อย่างสะดวกง่ายดายเพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ofo และเริ่มค้นหาจักรยานที่อยู่ใกล้คุณ ด้วยเทคโนโลยีของจักรยาน ofoทุกคันที่มีทั้ง gpsในการระบุตำแหน่งจักรยานได้อย่างแม่นยำพร้อมระบบ Smart Lock ที่ผู้ใช้สามารถปลดล็อกอย่างง่ายดายเพียงสแกน QR Code เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มต้นประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่กับ ofoได้แล้ว และพิเศษสุดสำหรับการเปิดตัวนี้จะเปิดให้ใช้บริการฟรี ไม่คิดค่ามัดจำและค่าบริการตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค.61” นายนพพล กล่าว

ด้าน รศ.ดร.กิตติชัยไตรรัตนศิริชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยขอนแก่นตั้งอยู่บนพื้นที่ 5,500 ไร่ ซึ่งถือเป็นพื้นที่สีเขียวสำคัญที่เปรียบเสมือนปอดใจกลางเมืองขอนแก่น โดยปัจจุบันมีนักศึกษารวมกว่า 40,000  คน แม้ภายในมหาวิทยาลัยจะมีการใช้รถยนต์และจักรยานยนต์ค่อนข้างมาก แต่ที่ผ่านมาได้ส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการเกิดมลภาวะในมหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับความร่วมมือล่าสุดกับทาง ofoในการเริ่มให้บริการจักรยาน Bike-Sharing ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมการเดินทางโดยจักรยานภายในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสภาพแวดล้อมส่งเสริมสุขภาพนักศึกษาและบุคลากรให้แข็งแรง ซึ่งถือเป็นหนึ่งทางเลือกด้านการขนส่งมวลชนในมหาวิทยาลัยที่สะดวกปลอดภัยในราคาประหยัด”

ทั้งนี้ ในระยะเริ่มต้นนี้ได้เตรียมจุดจอดจักรยาน ofoในมหาวิทยาลัยขอนแก่นไว้มากกว่า 20 จุด ทั่วมหาวิทยาลัยขอนแก่น อาทิเช่นบึงสีฐานอาคารสิริคุณากรศูนย์อาหารคอมเพล็กซ์ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก หอพักนักศึกษาชาย โรงอาหารหนองแขมโซนหอพักนพรัตน์โซนหอพักอินเตอร์ สำนักวิชาศึกษาทั่วไปคณะมนุษยศาสตร์โรงอาหารกังสดาล คณะเกษตรศาสตร์คณะศึกษาศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์คณะสาธารณสุขศาสตร์โรงพยาบาลศรีนครินทร์ และสวนร่มเกล้ากัลปพฤกษ์

Smart City เป็นแนวทางในการพัฒนาเมืองภายใต้กรอบความคิดที่มุ่งให้เกิดความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมปัจจุบันทั่วโลกมีเมืองที่เดินตามแนวทางของSmart City อยู่มากมายโดยจะเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาดูแลและพัฒนาเมืองให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งofoถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของ Smart City ที่ได้สร้างปรากฏการณ์มาแล้วในกว่า 200 เมืองทั่วโลก ซึ่ง ofoถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมการเดินทางที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับทุกคน เข้าถึงคนทุกระดับ ตอบโจทย์ในการเพิ่มศักยภาพให้เมืองและผู้คนให้เกิดความ สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่ก่อมลพิษ ซึ่งสำหรับแผนการขยายการบริการในประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าเพิ่มจุดให้บริการอย่างต่อเนื่องโดยจะเน้นการทำงานร่วมกับเจ้าของพื้นที่และหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้การสร้างสังคมจักรยานแบ่งปันหรือ Bike-Sharing ในเมืองไทยเป็นไปอย่างยั่งยืน” นายนพพล กล่าวในตอนท้าย

Beoplay P2 ลำโพงพกพาไร้สายคุณภาพเยี่ยม จาก Bang & Olufsen

บริษัท อาร์ทีบี เทคโนโลยี จำกัด ส่งลำโพงไร้สายคุณภาพแบบพกพาขนาดเล็ก Beoplay P2 จาก B&O Play โดดเด่นด้วยดีไซน์เรียบหรูและทันสมัยสไตล์สแกนดิเนเวียน พร้อมคุณภาพเสียงสุดคมชัดมาตรฐาน Bang & Olufsen Signature Sound 

Beoplay P2

นอกจากนี้ Beoplay P2” ยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นเสริม สำหรับนักเดินทาง เช่น การตั้งนาฬิกาปลุกด้วยเสียงเพลง หรือป้องกันละอองน้ำ และฝุ่นละออง เพื่อให้คุณสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างคล่องตัว นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ระบบสัมผัสติดตั้งไว้ที่บริเวณลำโพงด้านหน้า เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมลำโพงได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเพลงด้วยการแตะติดกันสองครั้งเพื่อเล่น หยุดเพลง หรือรับสายเรียกเข้า และเขย่าเพื่อเลื่อนเพลงต่อไป หรือปฏิเสธสายเรียกเข้า และหากต้องการปรับค่าการแตะและเขย่าให้ใช้เป็นการควบคุมอื่น ก็สามารถตั้งค่าผ่านแอพพลิเคชั่น B&O PLAY ทั้งระบบ iOS และ Android ขณะที่ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุชั้นดีระดับ B&O PLAY ไม่ว่าจะเป็นอะลูมิเนียมแบบพรีเมี่ยม ที่มีความทนทาน และให้เสียงชัดกระจ่างใส และสายคล้องข้อมือหนังแท้ โดยมาพร้อมแบตเตอรี่สำหรับเล่นเพลงได้สูงสุดต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงต่อรอบการชาร์จ น้ำหนักเบาเพียง 275 กรัม ทำให้สะดวกต่อการใช้งานและง่ายต่อการพกพา

ผู้สนใจสามารถสัมผัสประสบการณ์คุณภาพเสียงสุดคมชัดของ Beoplay P2” ได้แล้ววันนี้ Beoplay P2 ราคา 7,890 บาท มี 3 สี คือ Black , Royal Blue และ Sand Stone สามารถหาซื้อได้ที่

  • IStudio
  • .life
  • Siam Discovery
  • Jaymart
  • Munkong Gadget
  • Betrend
  • Power Mall
  • Lazada

สามารถติดตามรายละเอียดสินค้าของ Bang & Olufsen เพิ่มเติมผ่านทาง www.rtbtechnology.com

Beoplay P2 สเปค และ ข้อมูลจำเพาะ

  • ขนาด 140 x 80 x 28 กรัม
  • หนัก 275 กรัม
  • ผู้ออกแบบ : Cecilie Manz
  • EFFECTIVE FREQUENCY RANGE: 68 Hz – 21.000Hz
  • การเชื่อมต่อ : 1 x USB-C for charging and microphone
  • วัสดุ : Polymer, Pearl blasted Aluminium, leather and rubber.
  • BLUETOOTH : Bluetooth 4.2, ADK 4.0
  • MICROPHONE : 1x electret type, omni-directional
  • รองรับ Apple Siri และ  Google Now voice commands
  • POWER AMPLIFIERS : 2 x 15W class D for woofer and tweeter (2 x 50W peak power)
  • BATTERY ใช้ได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมง Built-in Lithium-Polymer, rechargeable, 7,2V, 2200mAh, Li-Ion
    ใช้เวลาชาร์จไฟ : 2 ชั่วโมง

MY PASSPORT SSD ฮาร์ดดิสก์แบบพกพา เชื่อมต่อผ่าน USB Type-C

Western Digital (WD) เปิดตัว My Passport SSD ฮาร์ดดิสก์แบบพกพาที่มีความเร็วที่สุดของแบรนด์ WD พร้อมทั้งออกแบบอินเทอร์เฟสรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C ทำให้สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ ด้วยการทำงานที่มีความรวดเร็วและการออกแบบที่การันตีด้วยรางวัล MyPassport SSD ตัวใหม่นี้ ยิ่งตอกย้ำการเป็นผู้นำของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลขนาดพกพาเท่าฝ่ามืออย่าง My Passport ของบริษัท ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อผู้ชอบสรรสร้างผลงานและผู้ที่หลงไหลในเทคโนโลยีเป็นพิเศษ มีการผสมผสานทั้งประสิทธิภาพในเรื่องความเร็วที่เกินคาดและขนาดที่พกพาสะดวก เข้าไว้ด้วยกันเพื่อรองรับการจัดการไฟล์ขนาดใหญ่ได้ในระหว่างการเดินทาง 

My Passport SSD มาพร้อมกับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุดถึง 515 MB/s  ซึ่งเป็น My Passport ที่มีความเร็วสูงสุดของแบรนด์ WD 

ไดรฟ์ตัวใหม่นี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อรองรับคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันนี้ที่มีการใช้พอร์ต USB Type-C™ และพอร์ต USB 3.1 เจเนอเรชั่น 2(10Gb/s) พร้อมกับหัวเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ไปจนถึงสายแบบ Type-C และยังมีอะแดปเตอร์ที่สามารถใช้ร่วมกับพอร์ตแบบ USB Type-A ที่ยังมีใช้อยู่แพร่หลายในเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถทำใช้งานร่วมกันได้กับทั้ง MAC และคอมพิวเตอร์พีซี ซึ่งมอบประสบการณ์ทำงานที่ราบรื่น ที่มีระบบล็อกการใช้งานแบบ256-bit AES และมีการป้องกันอีกขั้นด้วยการใส่รหัสผ่าน รวมทั้งผ่านการทดสอบการกันกระแทกการตกหล่นในระดับ 6.5 ฟุต ซึ่งเปรียบเทียบได้กับความแรงในระดับ1500จึงรับรองได้แน่นอนว่าข้อมูลที่มีค่าของคุณจะถูกจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัยแน่นอน

My Passport SSD เป็นโซลูชั่นในการจัดเก็บข้อมูลที่สมบูรณ์แบบซึ่งสามารถจัดการไฟล์รูปภาพและวิดีโอที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว มีความรวดเร็วในการสำรองข้อมูลและรวมถึงการจัดเก็บเอกสารที่สำคัญต่างๆ มีการจำลองเครื่องมือหรือขยาย หน่วยความจำ SSD ของคอมพิวเตอร์และสามารถพกพาไปในทุกๆ ที่ที่คุณเอาคอมพิวเตอร์ไปด้วย ไดร์ฟตัวใหม่ล่าสุดนี้พร้อมขนาดความจุที่มีตั้งแต่ 1 เทราไบต์ 512 กิกะไบต์ และ 256กิกะไบต์ และมาพร้อมกับซอร์ฟแวร์ WD Backup™ ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถทำการสำรองข้อมูลได้แบบอัตโนมัติ 

ราคาและการจัดจำหน่าย

มีการรับประกันเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยจะวางจำหน่ายในร้านค้าชั้นนำทั่วไปช่วงไตรมาสนี้ 

  • ความจุที่ 1 เทราไบต์ ราคา 15,900 บาท 
  • 512 กิกะไบต์ ราคา 7,990 บาท
  •  256 กิกะไบต์ ราคา 3,990 บาท

ดีแทค ให้ลูกค้าใช้งานฟีเจอร์ ซื้อดาต้าในแอป YouTube เป็นเจ้าแรกในไทย

ดีแทค นำเสนอฟีเจอร์ ซื้อดาต้าในแอป YouTube ให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับการใช้งานแอปพลิเคชั่น YouTube ซึ่งเป็นบริการดูวิดีโอยอดนิยม ลูกค้าสามารถใช้งานได้สะดวกสบาย ไม่มีสะดุด เป็นการนำเสนอฟีเจอร์ที่ตอบสนองการใช้งานการชมวิดีโอผ่าน YouTube แบบอย่างเพลิดเพลินและไม่เสียอรรถรส  โดยเสนอทางเลือกให้กับลูกค้าสามารถซื้อแพ็กเกจดาต้าได้ทันทีเมื่อความเร็วอินเทอร์เน็ตของลูกค้าที่ใช้งานตามแพ็กเกจที่ใช้อยู่ใกล้ครบตามแพ็กเกจ ภายในแอปพลิเคชั่น YouTube ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากหน้าจอ YouTube ทำให้การรับชมไม่สะดุด  ซึ่งดีแทคเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลรายแรกในไทยที่เปิดให้บริการฟีเจอร์นี้ร่วมกับแอปพลิเคชั่น YouTube ลูกค้าดีแทคจะได้สนุกกับการเชื่อมต่อความบันเทิงบน YouTube ได้แบบไม่มีลิมิต ดีแทคขอมอบแพ็กเกจดาต้าให้ลูกค้าคนพิเศษได้สัมผัสประสบการณ์ชมวิดีโอผ่าน YouTube แบบจัดเต็ม ดูเพลินทุกที่ ทุกเวลา ในราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 15 บาท เฉพาะลูกค้าดีแทคที่ใช้โทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยเท่านั้น สำหรับลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์มือถือระบบ iOS สามารถใช้บริการได้  เร็วๆ นี้

ซื้อดาต้าในแอป Youtube ลูกค้าดีแทค เริ่มต้นที่ 15 บาท

นายสิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นจำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า  “ฟีเจอร์ซื้อดาต้าในแอป YouTube อยากดูต้องได้ดู เป็นอีกหนึ่งบริการที่ดีแทคตอกย้ำ ข้อเสนอสินค้าและบริการ กับปรากฏการณ์ Flip It “พลิก” มุมมองให้ชีวิตง่ายกว่าที่เคย ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับความง่าย และตรงไปตรงมาในทุกการใช้งาน ปัจจุบันความนิยมของลูกค้าในการใช้ YouTube นั้นสูงมาก จากสถิติพบว่าลูกค้าใช้บริการจาก YouTube ถึง 1 ใน 3 ของการใช้งานดาต้าทั้งหมด ดีแทคได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าให้สะดวกสบายมากขึ้น  ผมเชื่อมั่นว่าฟีเจอร์ตัวใหม่นี้ จะตอบรับพฤติกรรมการดูวิดีโอสตรีมมิ่งออนไลน์ นอกจากนี้ดีแทคยังมีแพ็กเกจ GO โนลิมิต ที่ให้ลูกค้าดูวิดิโอสตรีมมิ่งผ่าน YouTube ฟรี เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ลื่นอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด ใช้ความเร็วสูงสุด ไม่อั้น ไม่ลดสปีด  ดีแทคพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างสรรค์บริการที่เข้าถึงและโดนใจลูกค้า พร้อมประสบการณ์ดิจิทัลอย่างไร้ขีดจำกัด”

จากข้อมูลพบว่าครึ่งหนึ่งของการใช้บริการจาก YouTube นั้นทำผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นการใช้งานในเวลาที่เยอะและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบนเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ลูกค้าใช้งานดาต้าจนหมดแพ็กเกจ ความเร็วของดาต้าจะลดลง ทำให้ลูกค้ามีประสบการณ์ไม่ราบรื่น การนำเสนอฟีเจอร์นี้ขณะที่ลูกค้ากำลังต้องการใช้งานจะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการควบคุมการใช้งานดาต้าของพวกเขามากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะปรากฏอยู่สองตำแหน่ง ตำแหน่งแรกจะปรากฏด้านล่างวิดิโอที่ลูกค้าทำการรับชมอยู่ อีกตำแหน่งจะปรากฏอยู่บนหน้าโปรไฟล์เพจของผู้ใช้งาน

ดีแทคขอมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่นี้ด้วยแพ็กเกจดาต้าดู YouTube ฟรี ลูกค้าสามารถกดรับสิทธิ์ได้ทันทีผ่านเมนูสมัครบริการของหน้าข้อมูลส่วนตัวของสมาชิก YouTube (Buy data Menu) ในแอป YouTube ได้ทุกวันศุกร์ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้ หรือ สามารถกดรับสิทธิ์รับแพ็กเกจดาต้าดู YouTube ฟรีผ่านช่องทางตามสื่อต่างๆ ของดีแทค เช่น SMS, LINE OA หรือ Facebookเป็นต้น ลูกค้าสามารถรับสิทธิ์ได้โดยการกดลิงค์ผ่านช่องทางของดีแทค ซึ่งระบบจะพาท่านไปสู่เมนูการสั่งซื้อในแอป YouTube ได้เลย

การร่วมมือกับแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง YouTube เป็นการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ทำให้ดีแทคสามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วขึ้นในเวลาที่ลูกค้าต้องการเพื่อประสบการณ์การรับชมวิดิโอสตรีมมิ่งที่ต่อเนื่อง และฟีเจอร์ครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำเป้าหมายของดีแทคในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลอันดับ 1และเป็นแบรนด์ที่ลูกค้านึกถึงในการดำเนินชีวิตยุคดิจิทัลเช่นกัน

Moto C และ Moto C Plus สมาร์ทโฟนอัดแน่นด้วยคุณภาพ ราคาโดนใจ

โมโตโรล่า เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นประหยัดที่อัดแน่นด้วยฟังก์การทำงาน และคุณสมบัติเครื่องสุดทนทาน อย่าง Moto C และ Moto C Plus สมาร์ทโฟนที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งดีไซน์ แบตเตอรี่ และระบบปฏิบัติการล่าสุด Android 7.0 Nougat

Moto C สมาร์ทโฟนโดนใจในราคาสุดพิเศษ

Moto C มาพร้อมดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยต้วเครื่องโค้งมนและฝาหลังพื้นผิว Micro-texture ให้การสัมผัสตัวเครื่องได้อย่างกระชับมือ ทนทาน อีกทั้งกระทัดรัด ด้วยหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด WVGA LCD (584x480) ยกระดับการทำงานอย่างลื่นไหลด้วยขุมพลัง MediaTek  MT6737m 64-bit quad-core 1.1GHz processor พร้อมระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat และพื้นที่หน่วยความจำภายใน สูงถึง 16GB ที่เพิ่ม Micro SD Card ได้อีกถึง 32GB   กล้องหลังความละเอียดถึง 5MP มาพร้อม LED Flash และกล้องหน้าความละเอียดถึง 2MP พร้อมไฟแฟลชให้ทุกช็อตเซลฟี่ออกมาสวยโดนใจ

เพื่อตอบโจทย์ทุกการเชื่อมต่อแบบไร้ขอบเขต Moto C มาพร้อม 2 รุ่น ให้เลือก ได้แก่ Moto C 3G และ Moto C 4G โดยรองรับะบบการทำงานแบบ Dual-Sim ให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อ แชร์ และดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว Moto C 4G มาพร้อม 2 สี ให้เลือกได้แก่ สีขาว และสีดำ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ True Shop, Jaymart, TG Fone และ ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ Moto C 3G มาพร้อม 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว และ สีดำ วางจำหน่ายเร็วๆนี้ ที่ True Shop ทุกสาขาทั่วประเทศไทย

Moto C Plus ยกระดับความแรงอีกขั้น

นอกจากนี้โมโตโรล่ายังเปิดตัว Moto C Plus สมาร์ทโฟนเพื่อการใช้งานที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น ทั้งการทำงาน และความบันเทิงมัลติมีเดียด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ที่มีความจุถึง 4000 mAh ให้การทำงานได้อย่างได้ยาวนานถึง 30 ชั่วโมง ภายในการชาร์จเพียงครั้งเดียว  เพื่อให้การทำงานหลากหลายอย่างมีประสิทธิภาพ Moto C Plus จึงมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล MediaTek MT6737 64-bit quad-core 1.3GHz processor ระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat และหน่วยความจำในตัวถึง 16GB และรองรับการ์ดความจำ microSD สูงสุดถึง 32 GB ผู้ใช้งานสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างไร้ข้อจำกัด

Moto C Plus มาพร้อมหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD ไฮไลท์กล้องหลังด้วยสุดยอดความละเอียดสูงถึง 8MP พร้อม LED Flash และกล้องหน้าความละเอียด 2MP สามารถตอบโจทย์คนรักการถ่ายภาพและสาวกโซเชียลได้ไม่พลาดแน่นอน อีกทั้งระบบรองรับ 4G / LTE ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์อย่างไม่มีสะดุด

ราคาและการจำหน่าย   

โมโตส่งมอบประสบการณ์ทางการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบสำหรับลูกค้าเตรียมพบกับข้อเสนอสุดพิเศษทั้งในระบบเติมเงินและรายเดือนได้ดังต่อไปนี้

  • เมื่อซื้อ Moto C 4G ราคา 3,290 บาท สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน รับสิทธิ์ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 1 Mbps นาน 6 เดือน พิเศษสุด! สำหรับลูกค้าที่ใช้แพ็กเกจทรูรายเดือน 4G+Super  Value 399  บาท และชำระเงินค่าบริการรายเดือน ล่วงหน้า 1,000 บาท สำหรับการใช้บริการ  ต่อเนื่อง 12 เดือน รับเครื่อง Moto C 4G ไปเลยทันที
  • เมื่อซื้อ Moto C Plus ราคา 4,290 บาท สำหรับลูกค้าแบบเติมเงิน รับสิทธิ์ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 1 Mbps นาน 6 เดือน  พิเศษสุด สำหรับลูกค้าที่ใช้แพกเกจรายเดือน รับส่วนลดทันที 3,000 บาท เหลือเพียงราคาเครื่องละ  1,290 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ 4G+Super Value 399 บาท และชำระเงินค่าบริการรายเดือน ล่วงหน้า 1,000 บาท สำหรับการใช้บริการต่อเนื่อง 12 เดือน 
  • เมื่อซื้อสมาร์ทโฟน Moto C 3G ราคา 2,590 บาท  สำหรับลูกค้าแบบเติมเงินรับสิทธิ์ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงถึง 1 Mbps นาน 3 เดือน

สำหรับ Moto C Plusมาพร้อม 3 สีให้เลือกได้แก่ สีขาว, สีดำ และสีทอง วางจำหน่ายวันที่ 20 มิถุนายนนี้ ที่ True Shop , Jaymart, TG Fone และ ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ นอกจากนี้ พิเศษสุดสำหรับลูกค้า สามารถสั่งซื้อ Moto C 4G และ Moto C Plus ที่ช่องทางออนไลน์ได้ที่ ช็อป Motorola Thailand บนเว็บไซต์ลาซาด้า

กิจกรรมพิเศษจาก LENOVO YOGA BOOK ปลดปล่อยจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในแบบของคุณ

เลอโนโว ผู้นำยอดขายคอมพิวเตอร์อันดับ 1 จัดกิจกรรมสุดพิเศษให้ร่วมสนุกช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ กับแล็ปท็อปล้ำสมัย LENOVO YOGA BOOK

LENOVO YOGA BOOK Latte Art 

ให้ทุกคนได้ปลดปล่อยจินตนาการและความคิดอิสระ วาดลวดลายที่มีเอกลักษณ์ ในสไตล์ของคุณผ่าน Yoga Book ไปสู่กาแฟ Latte แก้วโปรด พร้อมลุ้นรับLenovo Yoga book ฟรีทันที ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

  • ร่วมกิจกรรมได้ที่ร้าน The Coffee Bean & Tea Leaf สยามเซ็นเตอร์ เฉพาะวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์
  • แจ้งความประสงค์ร่วมกิจกรรมพร้อมแลกรับกาแฟ Signature Latte Art
  • ออกแบบลวดลายในแบบที่เป็นตัวคุณผ่านLenovo Yoga book พร้อมปริ้นท์ลงบนกาแฟแก้วโปรด

ถ่ายรูปผลงานของตัวเองแล้วอัพโหลดลงบน Facebook หรือ Instagram พร้อม #LenovoTH และ #YogaBook  เพียงเท่านี้มีสิทธิ์ลุ้นรับ Yoga book จากเลอโนโวมูลค่า 19,990 ฟรีทันที นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Workshop สุดครีเอท กับการออกแบบตัวอักษรสุดคลาสสิก Calligraphy โดยศิลปินนักออกแบบชื่อดัง Everyday Letter ได้ในวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2560 รอบเวลา 14.00 – 15.00 น. และกิจกรรม Sketch the Moment ให้คุณวาดรูปย้อนช่วงเวลาแห่งความสุขอีกครั้งผ่าน Yoga book  กับ Koi Sketches นักวาดภาพประกอบชื่อดัง ในวันที่ 8 – 9 , 15 – 16 กรกฏาคม 2560 รอบเวลา 14.00 – 15.00 น. เพียงลงทะเบียน ผ่านช่องทาง www.yogabook.lenovothailand.com