คลังเก็บหมวดหมู่: Feature

True Online บริการใหม่ เน็ตไร้สาย แบบเติมเงิน ไม่ต้องติดตั้ง ไม่ติดสัญญา เริ่มต้น 29 บาท

ทรูออนไลน์ (True Online) เปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด Prepay True Wireless Hi-Speed เน็ตไร้สาย แบบเติมเงิน เพิ่มศักยภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บนโครงข่ายทรูไฟเบอร์ปัจจุบัน  โดยเพิ่มช่องสัญญาณปล่อยแบนด์วิธเพิ่มขึ้นอีก 1 ท่อ  สำหรับการให้บริการเน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายรูปแบบใหม่

ด้วยความเร็วสูงสุด 200 Mbps  ครอบคลุมบริเวณคอมมูนิตี้ ห้าง และทุกพื้นที่ที่มีสัญญาณ @TrueHiSpeed กว่า 100,000 จุด และพร้อมจะขยายต่อเนื่องไปบนโครงข่ายทรูไฟเบอร์ทั่วประเทศ  ตอบโจทย์ตรงใจลูกค้าที่ชอบบริการแบบเติมเงิน พร้อมแพ็กเกจเบาๆ สบายกระเป๋า ผู้ที่ไม่ต้องการติดตั้งเดินสาย และไม่ชอบมีสัญญาผูกมัด เช่น ผู้ที่พักอาศัย หอพัก อพาร์ทเมนต์ และคอนโด ให้เข้าถึงเน็ตความเร็วสูงแบบไร้สาย

โดยมีแพ็กเกจให้เลือกทั้งแบบรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ เริ่มต้นเพียง 29 บาทต่อชั่วโมง ใช้ง่ายเพียงเชื่อมต่อ WiFi กับชื่อ @ TrueHiSpeed  ก็สามารถเลือกซื้อผ่านออนไลน์และใช้งานได้เลย เริ่มเปิดให้บริการ 1 มีนาคม 2564 ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://trueonline.truecorp.co.th/PrePayTrueWirelessHiSpeed

 
นายธนภูมิ ภาคย์วิศาล ผู้อำนวยการและหัวหน้าสายงานการพาณิชย์ ทรูออนไลน์ บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่นกล่าวว่า”ทรูออนไลน์ ในฐานะผู้นำบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตอันดับ 1 ของไทย  มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยทุกกลุ่มมาโดยตลอด  ล่าสุด พร้อมนำเสนอบริการใหม่ Prepay True Wireless Hi-Speed เน็ตไร้สาย แบบเติมเงิน ซึ่งเป็นอีกขั้นของการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องจากทรูออนไลน์ โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่มช่องสัญญาณ

ก่อนหน้านี้ได้ให้บริการ True Inno Hybrid Box ที่สามารถเพิ่มช่องสัญญาณ แยกท่อเคเบิ้ลทีวีและอินเตอร์เน็ตทีวีไว้ในกล่องเดียว รวมถึง Gamer Pro Pack จากทรูออนไลน์ ที่มีการเพิ่มช่องสัญญาณ แยก 3 ท่อตรง ท่อเล่นเกมส์ ท่อสตรีม/ดูสตรีม และท่อเล่นเน็ตทั่วไป  เพื่อไม่ให้แย่งเน็ตกัน ถูกใจเกมเมอร์เป็นอย่างมาก

และครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของทรูออนไลน์ ที่จะเพิ่มศักยภาพการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้กับชาวไทย มีการเพิ่มช่องสัญญาณ ปล่อยแบนด์วิธเพิ่มขึ้นอีก 1 ท่อ สำหรับการให้บริการเน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายรูปแบบใหม่  ซึ่งทีมงานได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยพัฒนาเครือข่ายแบบ Fixed Wireless network กับ Fixed Broadband  ที่อยู่บนเน็ตเวิร์คหลัก (Core Network) เดียวกัน ให้ผสมผสาน ร่วมกับโครงข่ายรองที่เข้าถึงพื้นที่ใช้งาน (Last Mile Network ) และอุปกรณ์โมเด็ม/เร้าเตอร์ ซึ่งได้มีการทดลองทดสอบบริการนี้มาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จนมั่นใจได้ว่ามีคุณภาพ และเสถียรที่สุด จึงพร้อมนำมาเปิดให้บริการ Prepay True Wireless Hi-Speed เน็ตเร็วสูงไร้สายในรูปแบบเติมเงินใหม่นี้ ซึ่งลักษณะการให้บริการจะคล้ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินซึ่งชาวไทยคุ้นเคย และเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่มีข้อแตกต่างที่ดีกว่าคือ เติมเงินซื้อแพ็กเกจเท่าที่ต้องการจะใช้งานขณะนั้นเท่านั้น ก็สามารถเข้าใช้บริการเน็ตความเร็วสูง ได้ทันที”

TrueOnline บริการใหม่ Prepay True Wireless Hi-Speed เน็ตไร้สาย แบบเติมเงิน

สามารถให้บริการเน็ตเร็วสูงไร้สายได้อย่างมีคุณภาพด้วยความเร็วสูงถึง 200 Mbps. ครอบคลุมบริเวณคอมมูนิตี้ ห้าง และทุกพื้นที่ที่มีสัญญาณ @TrueHiSpeedกว่า 100,000 จุด และจะขยายต่อเนื่องไปบนโครงข่ายทรูไฟเบอร์ทั่วประเทศ มั่นใจว่าจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดที่ต้อง ทำงานและเรียนออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพราะบริการเน็ตไร้สายแบบเติมเงินรูปแบบใหม่นี้จะอำนวยความสะดวกอย่างมากกับผู้ที่ไม่สะดวกติดตั้งหรือเดินสายไฟเบอร์ เช่นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนทำงานที่พักอาศัยอยู่หอพัก อพาร์ทเมนต์  ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ  ไม่อยากผูกสัญญา

เพียงเติมเงินออนไลน์โดยเชื่อมต่อ WiFi กับชื่อ @ TrueHiSpeed  ก็สามารถใช้บริการงานเน็ตเร็วสูงไร้สายนี้ได้ทันที  โดยมีแพ็กเกจให้เลือกทั้งแบบ รายชั่วโมง รายวัน และ รายสัปดาห์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 29 บาท

จะเริ่มเปิดให้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ทรูออนไลน์ ในการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดแก่คนไทย ด้วยการสรรหานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอินเทอร์เน็ตบ้านของไทยเทียบเท่ามาตรฐานโลกมาตลอด16 ปี การันตีโดย 2 รางวัลจากสถาบันทดสอบคุณภาพอินเทอร์เน็ตระดับโลก nPerf “รางวัลอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ที่ดีที่สุดในไทยประจำปี 2563” และ “รางวัลไฟเบอร์ดีที่สุดประจำปี 2563””

สามารถ ดูรายละเอียดของโปรโมชันเพิ่มเติม ได้ที่ ทรูออนไลน์

RAZER X PRODUCTIVITY SUITE ชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สุดล้ำเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า

Razer เปิดตัว Razer X Productivity Suite ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่เข้ามาเสริมกำลังชาวออฟฟิศ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยีขั้นสูงจาก Razer โดยร่วมมือกับ Humanscale ผู้นำด้านการยศาสตร์ในที่ทำงานระดับโลก เปิดตัวด้วย ‘Pro Click Mouse’, ‘Pro Type Keyboard’ และ ‘Pro Glide Surface’ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทนทานต่อการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น และมาในรูปแบบดีไซน์ที่สวยงาม ทันสมัยเหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ให้ผลลัพธ์ที่เหนือชั้นมากยิ่งขึ้น 

Razer X Productivity Suite เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นด้วยวิศวกรรมการผลิตที่เหนือกว่า รวมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ปรับปรุงพัฒนาคุณภาพอุปกรณ์ให้มีความทนทานต่อการใช้งาน Razer ใช้ประสบการณ์ตรงที่มีมาอย่างยาวนานในการสร้างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับการเล่นเกมที่มีประสิทธิภาพสูง ถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเหล่านั้นมาสู่ผลิตภัณฑ์สำนักงานที่ออกแบบร่วมกับ Humanscale  เพื่อให้ได้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับสำนักงานที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเทคโนโลยีหรือจะเป็นงานดีไซน์ที่มีความสวยงาม ทันสมัย ออกแบบมาอย่างถูกต้องตามหลักการยศาสต์สากลเพื่อให้เข้ากับทุกลักษณะการทำงาน อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงานเป็นเวลานานด้วย ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบาย ด้วยพื้นผิวสีขาวและไฮไลท์สีเทาอ่อน ๆ สุดคูล Razer X Productivity Suite ช่วยรังสรรค์พื้นที่ทำงานของคุณให้ดูทันสมัย สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว มอบความรวดเร็ว แม่นยำและความทนทานในการใช้งาน ตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานยุคใหม่

อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำนักงานส่วนใหญ่มีมาตรฐานการออกแบบและเทคโนโลยีที่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกคน ทำให้ผู้ใช้บางคนอาจไม่พอใจในลักษณะการใช้งานบางประการ และก่อให้เกิดเป็นอุปสรรคในการทำงานด้วย “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับ Razer Productivity Suite ที่เราเปิดตัวในวันนี้กับ Humanscale ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีของเรา เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมที่ผสมผสานกันของเราจะยกระดับประสิทธิผลในสถานที่ทำงานเป็นอย่างดี” Alvin Cheung รองประธานอาวุโสของหน่วยธุรกิจอุปกรณ์ต่อพ่วงของ Razer กล่าว

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่มีสไตล์ของ Razer Productivity Suite แต่แอบแฝงด้วยโครงสร้างอันแข็งแรงและส่วนประกอบคุณภาพสูงที่ใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ทนทาน ด้วยปุ่มบนเมาส์ Pro Click ที่ได้รับการจัดอันดับความทนทานสูงสุดจากการทดสอบถึง 50 ล้านรอบ รวมทั้งสวิตช์บนแป้นพิมพ์ Pro Type ได้รับการทดสอบความทนทานสูงสุดถึง 80 ล้านรอบ เรียกได้ว่า Razer Productivity Suite เป็นผลิตภัณฑ์สำนักงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความทนทานและอายุการใช้งานที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน

Razer Pro Click

ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง Razer และ Humanscale ผู้ออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ที่ช่วยพัฒนาสุขภาพและความสะดวกสบายในชีวิตการทำงานตามหลักสรีรศาสตร์ชั้นนำของโลก เมาส์ Razer Pro Click ได้รับการออกแบบมาเฉพาะเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการใช้เมาส์ทำงานในระยะยาว นั่นหมายรวมถึง Tendonitis และ Carpal Tunnel Syndrome ด้วย เมาส์ Razer Pro Click ได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อจัดตำแหน่งข้อมือของผู้ใช้ในมุมที่เป็นกลาง 30 องศา ดังนั้นจึงป้องกันความรู้สึกไม่สบายและการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับการหมุนข้อมือ นอกจากนี้ Razer Pro Click ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายที่เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีขนาดของมือที่แตกต่างกัน ปรับความกระชับ รองรับเข้ากับฝ่ามือ โดยรวมเอาส่วนของนิ้วโป้งไปจนถึงนิ้วก้อย สามารถลดความเครียดจากการสัมผัสกับโต๊ะทำงานและบรรเทาอาการเมื่อยมือและแขนได้อย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์ที่ได้คือเมาส์คุณภาพสูง ส่งมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ลดความเมื่อยล้าระหว่างทำงานในระยะยาว และที่สำคัญคือส่งมอบความแม่นยำและประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างสูงสุดจาก Razer 

“เป้าหมายของ Humanscale คือการทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีและได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการทำงาน การร่วมมือกันกับ Razer ในครั้งนี้ ทำให้เรามีโอกาสได้คิดค้นงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงความแตกต่างกันของกายภาพ รังสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันการใช้งานของทุกไลฟ์สไตล์ เมาส์ไร้สาย Razer Pro Click ใช้ประสบการณ์อันเชี่ยวชาญของเราบวกกับหลักการยศาสตร์ในการออกแบบ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการใช้งานผลิตภัณฑ์สำหรับคอมพิวเตอร์ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีและประสิทธิภาพการทำงานที่แม่นยำยิ่งขึ้น” Allan Escoto ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ระดับโลก Monitor Arms & Technology Solutions ของ Humanscale กล่าว

ด้วย Advanced 5G Optical Sensor ของ Razer การเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลายช่องทางเป็นสิ่งที่สามารถทำได้แบบไม่มีสะดุด และด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นกว่า 400 ชั่วโมง เมาส์ Pro Click จึงเป็นอุปกรณ์ในฝันที่มีคุณสมบัติครบครัน เหมาะสำหรับพนักงานโต๊ะที่ต้องการความแม่นยำและความน่าเชื่อถือตลอดเวลา

  • ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • Razer 5G Advanced Optical Sensor
  • ความทนทานสูงสุดจากการคลิกทดสอบกว่า 50 ล้านรอบ
  • การเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลากหลายมากกว่า 4 ช่องทาง
  • ปุ่มตั้งโปรแกรมพิเศษมากถึง 8 ปุ่ม
  • อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นกว่า 400 ชั่วโมง 

Razer Pro Type

ศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพคือ Keyboard ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานได้สะดวกรวดเร็วและตอบสนองได้ดี เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดและความเมื่อยล้าน้อยที่สุด แป้นพิมพ์ของ Razer Pro Type มีการเคลือบผิวสัมผัสที่นุ่มนวลเพื่อความสบายในการพิมพ์ตลอดทั้งวันและใช้ Orange Mechanical Switches ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Razer ให้การกดแป้นที่เงียบ แต่สัมผัสได้เพื่อการพิมพ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ ด้วยการเชื่อมต่อไร้สายและบลูทูธสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์สูงสุด 4 เครื่อง Razer Pro Type มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนการตั้งค่าให้เหมาะสมกับแต่ละที่ทำงาน ทำให้เกิดความสมดุลของประสิทธิภาพและความสะดวกสบายสูงสุด

  • ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • เคลือบผิวสัมผัสที่นุ่มนวลเพื่อความสบายในการพิมพ์ตลอดทั้งวัน 
  • Razer orange mechanical กรรมสิทธิ์ของ Razer สำหรับการกดแป้นที่เงียบ
  • ความทนทานสูงสุดจากการกดทดสอบกว่า 80 ล้านรอบ
  • การใช้งานแบบไร้สายและการเชื่อมต่อบลูทูธแบบหลากหลายมากกว่า 4 ช่องทาง
  • ปุ่มที่ตั้งโปรแกรมได้อย่างสมบูรณ์พร้อมปุ่มบันทึกมาโคร
  • ไฟแบบ White LED backlit 

Razer Pro Glide

เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ Razer Productivity Suite ด้วยพื้นผิวของ Razer Pro Glide ซึ่งไม่เพียงแต่เข้ากับโทนสีที่ทันสมัยและสร้างความน่าเชื่อถือให้ห้องทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมคุณสมบัติของเมาส์ Razer Pro Click ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย พื้นผิวสานไมโครเท็กซ์เจอร์ที่ทนทานเป็นชั้น การติดตามเมาส์ที่ความเร็วสัมพันธ์เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการชี้ที่รวดเร็วแม่นยำและการเคลื่อนไหวที่ราบรื่น ทำให้ผู้ใช้ปราศจากความกระวนกระวายใจ

  • พื้นผิวผ้าทอไมโครเท็กซ์เจอร์
  • แผ่นรองโฟมหนาและมีความหนาแน่นสูง
  • มีพื้นผิวกันกระแทกเพื่อความสบายในการใช้งานในระยะยาว
  • แผ่นรองกันลื่น
  • ขนาด: 360x275x3mm

ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย:

  • Razer Pro Click: $99.99 USD
  • Razer Pro Type: $139.99 USD
  • Razer Pro Glide: $9.99 USD

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.razer.com/productivity 

เคส UAG ซื้อที่ทรูช้อป ได้ราคาถูกกว่าสั่งจากเมืองนอก

สำหรับคนที่ชอบใช้ เคส UAG (Urban Armor Gear) มีเทคนิคซื้อได้ ราคาถูก ที่ถูกกว่าสั่งเองจากเมืองนอก แค่ใช้ True Point แลกส่วนลดซื้อได้ที่ทรูช้อป

ส่วนตัวผมเป็นคนที่ใช้เคสของ UAG มาตลอด รุ่นแรกที่ใช้คือ HTC M8 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว สมัยก่อนนั้นบอกเลยว่าหาซื้อในบ้านเราค่อนข้างยาก ร้านหรือตู้ไม่ค่อยมีใครสั่งเข้ามา ต้องอาศัยสั่งออนไลน์ตรงจากเว็บหลัก urbanarmorgear.com รอประมาณอาทิตย์กว่าๆ ถึงจะได้ของ

บรรดาเคส UAG ที่เคยซื้อมาใช้ เรียกว่าเปลื่ยนมือถือใหม่ ก็ซื้อ UAG ใส่เลย

มาช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ของทาง True ได้มาเป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ เลยสะดวกในการหาซื้อมากกว่าเดิม โดยที่มีราคามาตรฐาน มั่นใจว่าได้ของแท้ (หลังๆ UAG เริ่มฮิตของก๊อปก็ออกมาเกลื่อน) และการรับประกันก็เหมือนกับสั่งตรงจากเว็บหลัก

ทำไมถึงได้ชอบ เคส UAG

อย่างที่บอกไปว่าผมซื้อของ UAG ใช้มาตั้งแต่รุ่น 5 ปีที่แล้ว และก็ดันเป็นคนเปลี่ยนเครื่องค่อนข้างบ่อย (ฮา) เท่าที่จำได้มี HTC M8, LG G4, iPhone 7 Plus, Samsung Galaxy S7 edge, S8, Note9, iPhone X ทั้งหมดนี่ใช้เคสของ UAG ทั้งหมด

สิ่งแรกที่ทำให้เลือกซื้อ UAG เลยก็คือดีไซน์ ดูเป็นเอกลักษณ์ จะเป็นสไตล์ที่ดูลุยๆ ออฟโร้ด ใส่แล้วให้ความรู้สึกว่าเครื่องบึกบึนขึ้น หลังๆ มาสมาร์ทโฟนขยันทำเครื่องบางลงเรื่อยๆ แถมยังเป็นกระจกลื่นมืออีก ตัวเคส UAG ผมเลยรู้สึกว่าใส่แล้วมันจับได้ถนัดและกระชับมือมากกว่าพวกเคสบางๆ และดีไซน์ตัวขอบรอบเครื่องที่เป็นยางเหมือน Bumper ช่วยป้องกันแรงกระแทกรอบด้าน และยังเป็นขอบที่ยกสูงทำให้วางคว่ำหน้าจอได้ด้วย

ต่อมาคือความเด่นเรื่องของ การกันกระแทก UAG ถือเป็นเคสมือถือรุ่นแรกๆ ในตลาดที่เริ่มผลิตโดยผ่านการทดสอบกันกระแทกในระดับมาตรฐาน Military Grade ซึ่งมันก็กันได้จริงๆ ตัวเองใช้งานเคยทำหล่นอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่ารอด 100% ตัวเครื่องไม่เคยมีริ้วรอยหรือเสียหายอะไรเลย รวมทั้งยังช่วยลดโอกาสที่เครื่องจะตกกระแทกจนกระจกจอแตก หลังๆ ผมเลยไม่ใส่พวกฟิล์มกันรอยหรือกระจกกันรอยอะไรเลย เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องตกแล้วจอจะแตกอีกต่อไป

สุดท้ายคือเรื่องของการรับประกันสินค้า เคสของ UAG ทุกรุ่นมีการรับประกัน หากมีการเสียหายจากการใช้งานปกติ สามารถเคลมได้ทั้งหมด ของผมเคยเจออยู่ 2 ครั้ง ตอนใช้กับ LG G4 ใช้เป็นรุ่น Plasma แล้วตัวชิ้นส่วนยางมันหลุดจากตัวฝาหลังพลาสติก ตอนนั้นทำการส่งเรื่องเคลมกับเว็บหลังต่างประเทศ ถ่ายภาพส่งไปแจ้ง ทางนั้นจัดการส่งสินค้าใหม่มาให้ทันที

ส่วนอีกครั้งเป็นตอน Galaxy S7 edge รุ่น Plasma อีกแล้ว (ฮา) แต่คราวนี้เป็นที่จุกยางด้านหลังที่มันชอบหลุดเวลาถอดเคส ซึ่งอันนี้พอแจ้งเรื่องไปก็ส่งตัวจุกยางอะไหล่มาให้

ตัวซ้ายเป็น UAG Plasma ของ iPhone X ที่ยังมีจุกยางสีดำกลมๆ อยู่ ซึ่งมีปัญหาหลุดหายบ่อยมาก พอมาของปีนี้ รุ่น Huawei P30 Pro ก็เลยเอาออกไปแล้ว

การรับประกัน ถือว่าน่าพอใจมาก กับสินค้าราคาพันกว่าบาท ผมเคยซื้อเคสแฟชั่นของแบรนด์หนึ่งแล้วเจอปัญหาใช้ไปแค่เดือนกว่าๆ ตัวไวนิลที่หุ้มบริเวณขอบเคสเกิดขาดแบบไม่มีการตกหล่น ไปแจ้งกับทางร้านก็บอกว่าไม่มีการรับประกัน และราคาที่ซื้อตอนนั้นก็พอๆ กับ UAG เลย จากนั้นก็เลยไม่ซื้อพวกเคสแฟชั่นแพงๆ มาใช้อีกต่อไป

เคส UAG การรับประกันพื้นฐานคือ 1 ปี แต่จะมีรุ่น Monarch ที่เป็นรุ่นท้อปสุด อันนั้นรับประกันนานถึง 10 ปี เชื่อว่ามือถือคุณพังก่อนเคสแน่นอน 55555

ใช้ True Point 50 แต้ม แลกส่วนลด 20% สำหรับซื้ออุปกรณ์เสริมที่ ทรูช้อป

สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่ซื้อมาคือ Huawei P30 Pro ที่หน้าเว็บของ Urban Armor Gear เพิ่งมีอัปเดตสินค้าเปิดให้สั่งซื้อได้ช่วงประมาณวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ตอนแรกก็คิดว่าจะสั่งออนไลน์ ปรากฎว่าไม่กี่วันที่ TrueShop ก็มีของขายด้วยเหมือนกัน เรียกว่าไม่ต้องรอนานเลย

เรื่องของราคา ถ้าสั่งซื้อออนไลน์กับเว็บหลัก จะอยู่ที่ $39.95 USD คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,280 บาท ส่วนราคาขายในไทยตั้งไว้ที่ 1,590 บาท

หลายคนที่อยากประหยัด ก็อาจจะเลือกสั่งออนไลน์แล้วรอประมาณอาทิตย์กว่าๆ สินค้าก็จะส่งมาถึงที่บ้าน โดยไม่คิดค่าจัดส่ง (Free Shiping) แต่ว่าเอาจริงๆ ตอนจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตจะไม่ได้ตามเรตค่าเงินวันที่เราซื้อ ต้องไปลุ้นตอนตัดเงินอีกที และที่สำคัญบางครั้งสั่งไปดันซวย เจอ “ภาษี” กลายเป็นว่าแพงกว่าซื้อในไทยซะอีก

ดังนั้นถ้าใครไม่อยากรอนาน ไม่อยากลุ้นว่าจะโดนภาษีหรือเปล่า ก็ซื้อของที่นำเข้ามาขายในไทยนี่ล่ะ และซื้อที่ทรูช้อปนั้น True มีโปรโมชั่นที่คนไม่ค่อยรู้กันคือ เอา True Point จำนวน 50 แต้ม มาแลกส่วนลดสำหรับซื้ออุปกรณ์เสริมในทรูช้อปได้ 20%

ผมไปซื้อที่สาขาสยามพารากอน ถือว่าเป็นสาขาใหญ่กลางเมืองและมีของสต็อคค่อนข้างเยอะ วิธีการไม่ยากเข้าแอป True You แล้วค้นหาคำว่า “Trueshop” ก็จะมีตัวโปรโมชั่นที่เอาแต้ม True Point แลกได้ขึ้นมา

จัดการให้น้องพนักงานทำการกดแลกแต้มและจดโค้ดเพื่อทำการลดราคา 20% ให้ ซึ่ง เคส UAG Plasma ของ HUAWEI P30 Pro จาก 1,590 บาท ลดไป 318 บาท เหลือ 1,272 บาท

เท่านี้ก็ได้เคส UAG ราคาถูกกว่า หรือพอๆ กับสั่งซื้อจากเว็บหลัก แต่ดีกว่าที่คุณได้ของทันทีไม่ต้องรอให้จัดส่ง และการรับประกันก็เหมือนกันทุกอย่าง หากมีปัญหาก็เอาสินค้าพร้อมใบเสร็จมาเคลมที่ทรูช้อปได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาแจ้งเรื่องไปต่างประเทศ ถือว่าจ่ายราคาพอๆ กันแต่ได้ความสะดวกมากกว่า

นอกจากเอา TruePoint มาแลกส่วนลดได้แล้ว ตอนที่ซื้อพนักงานบอกว่า อันนี้เราจะได้ True Point จากการซื้อครั้งนี้ด้วย (ทุก 100 บาทได้ 1 แต้ม)

พูดถึง เคส UAG Plasma ของ Huawei P30 Pro กันบ้าง รอบนี้ UAG แก้ปัญหาตัวจุกยางที่ชอบหลุดในรุ่นก่อนๆ ด้วยดีไซน์ใหม่ไม่มีจุกยางอีกต่อไป รุ่น Plasma นั้นส่วนฝาหลังจะเป็นโปร่งใสให้เห็นสีฝาหลังได้ แต่ที่มีขายช่วงแรกดันมีแต่สี Ash ที่ไม่ได้ใสปิ้ง จะมีเทาๆ หม่นๆ นิดนึง พอเอามาใส่กับเครื่องผมที่เป็น Breathing Crystal เลยดูตุ่นๆ ไปหน่อย ใส่เคสแล้ว จับได้กระชับมือมากขึ้น โดยที่ไม่ได้รู้สึกหนาหรือหนักขึ้นกว่าเดิมนัก และยังใช้งานชาร์จไร้สายและ NFC ได้ไม่มีปัญหา

บางคนอาจจะคิดว่า เคส UAG ราคาพันกว่าบาทนั้นแพง ส่วนตัวผมแล้ว ซื้อสมาร์ทโฟนราคา 3 หมื่นกว่าบาท แล้วใช้เคสราคาพันกว่าบาท ที่ช่วยปกป้องเครื่องให้ปลอดภัยจากการกระแทกก็ถือว่าเหมาะสมดี ไม่ได้แพงเกินไป

Kimi wa Melody เธอคือ…เมโลดี้ เพลงอกหักที่สดใสจาก BNK48

Kimi wa Melody เธอคือ…เมโลดี้ เพลงซิงเกิ้ลลำดับที่ 4 ของ BNK48 เปิดตัวครบเรียบร้อยแล้วทั้งเพลงเนื้อไทยที่ทำได้ดีเหมือนเดิม และ MV ที่ทำออกมาสวยงามตรงคอนเซปท์ของต้นฉบับ และหลังจากเปิดตัว MV ไปแค่ 16 ชั่วโมง ยอดวิวก็ทะลุ 1 ล้านไปอย่างละมุนๆ

เป็นอีกเพลงที่ผมค่อนข้างตั้งความหวังเอาไว้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นหนึ่งในเพลงที่ชอบเป็นส่วนตัว เพราะต้นฉบับของ AKB48 ทำเอาไว้ดีมากๆ ทั้งตัวเนื้อเพลง และ MV ที่สวยมากๆ และถือว่าเพลงนี้ BNK48 เอามาใช้ได้ถูกที่ถูกเวลาเหมือนกับตอน Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสี่ยงทาย คือเป็นเพลงที่ฮิตชัวร์ ฟังง่าย ติดหู และท่าเต้นน่ารักๆ และตอนนี้ BNK48 อยู่ในสภาวะประสบความสำเร็จ ที่ทำอะไรก็ดูดีไปหมด เชื่อได้ว่าเพลงนี้จะยังคงสร้างชื่อเสียงและความนิยมของวงไปต่อได้อีก

การที่ตอนนี้ BNK48 ได้พาร์ทเนอร์ที่ทรงพลังมากมาย โดยเฉพาะ Plan-B เจ้าของ Outdoor media ยักษ์ใหญ่ ที่เนรมิตจอขนาดยักษ์หน้า Central World พร้อมเปิดฟรีคอนเสิร์ตเพื่อเปิดตัวซิงเกิ้ลนี้อย่างเป็นทางการ มีแฟนคลับมายืนตากฝนดูโชว์นี้ร่วมหมื่นคน และชมผ่าน Live ที่ยอดเรียลไทม์ขึ้นไปสูงถึง 5 หมื่นคน

เพลงอกหักแบบเต้นได้ของ BNK48

การประกาศตัวเซนเตอร์ ที่ถูกวางตัวเป็น เนย ถือว่าเหมาะสมกับเพลงนี้อย่างลงตัว (แม้ว่าจะมีข้อมูลหลุดว่าเนยได้รับการรับเลือกมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว) จังหวะเพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่สนุกเต้นได้ซอฟท์ๆ แต่ว่าตัวเนื้อหาของเพลงนั้นมีแอบเศร้าอยู่ ด้วยความรู้สึกประมาณว่า พูดถึงเพลงโปรดที่เคยฟังด้วยกันกับคนที่หลงรัก ที่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา และก็จากกันไป

ปกติแล้วเนื้อหาเพลงของ BNK48 ที่ผ่านมา จะเป็นเพลงแนวให้กำลังใจ ปลุกใจ (จนบางทีนึกว่าเป็นวงเพื่อชีวิตสาย Pop ไปแล้ว) แม้ว่าจะเป็นวงที่เป็นเด็กสาววัยรุ่น แต่ก็แทบจะไม่ได้มีเนื้อหาเพลงเกี่ยวกับความรักแบบหนุ่มสาวเลย (ยกเว้นเพลงในเธียร์เตอร์นะ อันนั้นพูดเรื่องความรักเยอะมาก) แต่ด้วยความสนุกของดนตรีก็ทำให้เพลงนี้ไม่ได้ดูเศร้าสักเท่าไรนัก

เนื้อเพลงภาษาไทย ครูแมน ยังคงทำได้ดีอย่างไม่ผิดหวัง เนื้อเพลงคล้องจองกับท่วงทำนองต้นฉบับแบบไม่รู้สึกขัดหู ถือว่าเป็นเพลงที่มีเนื้อที่ค่อนข้างยาว เพราะมีท่อนซ้ำไม่เยอะมาก แต่ด้วยความหมายและภาษาที่เลือกมาใช้เข้าใจง่าย ฟังแค่ 3-4 รอบก็พอจะจำและร้องตามได้แล้ว

Kimi wa Melody เธอคือ…เมโลดี้ MV สีพาสเทล และชุด Siam Lolita

ตัว MV ครั้งนี้ BNK48 ทำออกมามีกลิ่นอายหลายๆ อย่าง ใกล้เคียงกับต้นฉบับของ AKB48 ตั้งแต่ชุดที่มีแบ่งเป็น 2 ชุด (เป็นครั้งแรกที่ BNK48 ทำชุดเซ็มบัตสึเพลงเดียวมี 2 ชุด) โดยชุดหลักที่เป็นสีขาว ดูสาวๆ น่ารักๆ (ดูน่ารักและละมุนสุดแล้วเมื่อเทียบกับทุกชุดที่ผ่านมา) และมีอีกชุดที่เห็นครั้งแรกส่วนตัวแอบสะดุ้งอยู่เหมือนกัน กับความกล้าที่จะออกแบบและเล่นสี

คอนเซ็ปท์ของชุด Siam Lolita คือ “รูปแบบเครื่องแต่งกาย อัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย ภายใต้แรงบันดาลใจจากพัสตราภรณ์ของเหล่าชนชั้นสูงสมัยรัชกาลที่ 5 ผสมผสานความน่ารักสดใสดุจดั่งตุ๊กตาชาววัง”

ชุดในเพลง Kimi wa Melody ทั้งในเวอร์ชั่นของ AKB48 และ JKT48 ก็เป็นคอนเซ็ปท์เอาชุดเครื่องแต่งกายประจำชาติ มาดัดแปลงให้ดูร่วมสมัย สำหรับประเทศไทยแล้ว ผมเห็นครั้งแรกมันแอบสะดุดตรงที่เราชินตากับชุดไทยพัสตราภรณ์ ที่เป็นสีขาวเรียบๆ กับโจงกระเบนสีโทนเดียว การตีความมาทำให้ร่วมสมัยครั้งนี้ทำเอารู้สึก Culture Shock อยู่พอสมควร (ฮา) โดยเฉพาะชุดของบางคนนี่เล่นสีจัดตัดแบบรุนแรงมาก รวมถึงลายผ้าแบบยุโรป

แต่ถึงอย่างไร ก็ถือว่าทีมงานเลือกหยิบเอาวัฒนธรรมของไทยในยุครัชกาลที่ 5 มาใช้และประยุกต์ได้ดี คือมันไม่ได้ไทยจ๋าจนเกินไป มีความเป็นสากลและมีเอกลักษณ์ของไทยอยู่ เพราะถ้าให้แบบห่มสไบถ่าย MV ในเรือนไทยก็คงไม่ไหวแน่ๆ

แต่เท่าที่ดูกระแสหลังจากเปิดตัวไป โอตะส่วนใหญ่ชอบชุดนี้กัน ด้วยความที่ดูสดใสน่ารัก และชุดของแต่ละคนก็แตกต่างไม่เหมือนกัน ซึ่งชุด Siam Lolita นี้จะเป็นแค่ชุดใน MV หรือใส่เวลาโชว์ตัวเท่านั้น ส่วนการร้องและเต้นก็จะเป็นชุดสีขาวแทน

มาพูดถึงตัว MV บ้าง คิดว่าแฟนๆ น่าจะฟินเพราะมีเซอร์วิสให้เยอะมาก ไม่มีเล่าเรื่องราว จัดเต็มความน่ารักสดใสของเมมเบอร์ทุกคนแบบไม่ยั้ง มีซีนเล็กซีนน้อย เรือเล็กเรือใหญ่วิ่งกันเต็มไปหมด แถมยังรู้สึกได้ว่ามี Mood & Tone แบบ AKB48 มาเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากป้อนมากาฮอง หรือฉากหอมแก้ม

เห็นแบบนี้แล้ว ผมตั้งความหวังกับ Heavy Rotation เอาไว้สูงกว่าเดิมหลายเท่าแล้วล่ะตอนนี้!!!

Kimi wa Melodyเธอคือ…เมโลดี้ จะฮิตมั้ย?

ถ้าจะวัดกับคุกกี้เสี่ยงทาย บอกเลยว่าเป็นเป้าหมายที่ยากมาก เพราะเพลงนั้นประสบความสำเร็จเอาไว้สูงมากๆ ท่าเต้นของเพลงก็มีเพียงแค่ท่าแมวกวักในช่วงท่อนฮุก ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นท่าฟรีสไตล์ คงจะมีคลิป Cover ท่าเต้นออกมาไม่มากแน่นอน ส่วนการร้อง เพลงนี้ถือว่าร้องไม่ยาก ก็อาจจะเห็นคลิป Cover ร้องหรือเล่นดนตรีออกมาเยอะอยู่

และด้วยเป็นเพลงที่ร้องไม่ยากมากและท่าเต้นที่ไม่มาก น่าจะเป็นอีกเพลง Stage ที่เอามาใช้ได้บ่อย เพราะเมมเบอร์ไม่ต้องใช้พลังมาก และร้องสดได้โดยไม่ต้องเหนื่อยหอบ โดยรวมแล้วเป็นเพลง Pop ฟังเพลินติดหูง่ายอีกเพลงนึงอย่างแน่นอน

เนื้อเพลง Kimi wa Melody เธอคือ…เมโลดี้

ในยามที่เหม่อและมองขึ้นมา บนฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีใหม่
ฉันเห็นผู้คนในเมือง ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากมาย
ดังมนต์สะกดจนทำให้ฉันนั้นร้องฮัมเพลงนี้ออกไป
โดยมีคำชวน มาจากเจ้าสายลมพัดพา

คืนวันเก่าๆ กับความทรงจำ ที่เหมือนว่ามันจะเลือนราง
ยังมีเพลงโปรดอยู่เพลงๆ หนึ่ง นานแล้วที่เราไม่ได้ฟัง
และแล้วจู่ๆ ในใจก็มีเพลงนี้บรรเลงขึ้นอีกครั้ง ชัดเจนขึ้นทันตา
และคงมีเพียงความรัก ที่ยังค้างคาใจตลอดเวลา เตรียมใจเอาไว้เรื่อยมา
ยังคงได้ยินเพลงนั้น เพลงของเธอกับฉัน มันดังอยู่ในใจให้รู้ว่า จะนานสักเท่าไร

Kimi wa melody melody คิดถึงจนฮัมเป็น harmony harmony
ความรักที่ไม่เคยเอ่ยออกมา มันเจ็บจนลึกแบบนี้ เจ้าท่วงทำนองของฉัน
ก็เธอคือ melody melody ถึงแม้จะจำได้เพียง แค่เสี้ยวของมัน
ที่ผ่านมานั้น จะเจ็บแค่ไหน
แต่ความสดใสที่มีจะฟื้นคืนมาให้ฉันสักวัน

ในวันเก่าๆ ที่เราจูงมือยังร้องเพลงเดินไปด้วยกัน
เพราะฉันยังอยู่กับความลังเล และวุ่นวายใจก็ยังหวั่น
และเหมือนเวลาจะเดินเร็วไป มันห้ามยังไงไม่ทัน
จนเพลงๆ เดิม ที่เราเคยฟังกลับหายไป

คงมีบางสิ่งที่เคยเตรียมใจ แต่หลงลืมไปใช่หรือเปล่า
ได้ยินเพลงใหม่ที่ใครๆ ฟัง มันเข้ามาแทนที่เพลงเก่า
ไม่รู้จะตอบออกมายังไง คำถามในใจทุกเรื่องราว
รู้รึเปล่า ทำไม

จู่ จู่ ก็คิด มันคิดถึง เธอมากจนหยุดไม่ไหว
คงมีความหมายซ่อนอยู่
ในความบังเอิญเหล่านั้นบอกเราให้รู้
ความรักที่เคยหลบอยู่ข้างใน เก็บมันคงไม่ไหว

ก็เธอคือ Memory Memory ถึงแม้จะเคยเป็น วันที่ดี วันที่ดี
คำร่ำลาที่ต้องบอกในใจ ตลอดไปนับจากนี้ จะมีแค่เพียงตัวฉัน
กับความทรงจำที่ดี memory
ประทับลงในส่วนลึก ตราตรึงนิรันดร์
นับจากวันนั้นจะนานแค่ไหน
ก็จะได้ยินบทเพลงนี้ หวนคืนมาเมื่อคิดถึงมัน

ถ้าลองมองย้อน กลับไปสักวัน ไม่รู้ว่าคิดเหมือนกันกับฉัน แบบนั้นหรือเปล่า
ยังมีเพลงรัก เพลงหนึ่งยังคง อยู่ตลอดกาล…แสนนาน

Kimi wa Melody Melody คิดถึงจนฮัมเป็น Harmony Harmony
ความรักที่ไม่เคยเอ่ยออกมา มันเจ็บจนลึกแบบนี้ เจ้าท่วงทำนองของฉัน
ก็เธอคือ Melody Melody ถึงแม้นจะจำได้เพียง แค่เสี้ยวของมัน
ที่ผ่านมานั้น ยังอยู่เสมอ
ยังคงเอ่อล้น อยู่ภายในใจ

แหละนี่คือ melody melody และไม่ว่าจะมาจากใคร ที่ไหน เมื่อไหร่
ได้โปรดจงรู้ ว่าใจของฉัน
ยังคงจะมี แต่เธอเท่านั้น แม้เธอไม่คิดอะไร

ได้โปรดจงรู้ว่าใจของฉัน
มันอยากได้ยิน ว่าเธอ นั้นร้องทำนองเพลงนี้ เหมือนกัน

รีวิว Girl Don’t Cry มุมมืดของ BNK48 คราบน้ำตาในโลกที่ไม่เสมอภาค

Girl Don’t Cry ภาพยนตร์แนว Documentary เรื่องล่าสุดของผู้กำกับจอมทุบตึกอย่าง เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่เป็นการเล่าเรื่องราวของสมาชิก BNK48 วงไอดอลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงเวลานี้ หนังความยาว 1.50 ชั่วโมง ที่ถ่ายทอดความรู้สึกและสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า หลังฉากของชุดกระโปรงสุ่มสีรุ้ง พวกเธอคิดอะไรกัน เจอกับอะไร และต้องต่อสู้กับอะไร

Girl Don’t Cry คือหนังชีวิตวัยรุ่น 26 คน ที่เกิดขึ้นใน Timeline เดียวกัน แต่อยู่ต่างมุมมอง สะท้อนถึงความจริงของโลกที่เราต้องยอมรับ

ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่จะรู้จัก BNK48 ที่เป็นภาพของเด็กสาวสดใสน่ารัก มายืนกันหลายๆ คนแล้วร้องเต้นเพลงที่แปลงมาจากต้นฉบับของญี่ปุ่น รวมถึงหลากหลายวัฒนธรรมใหม่สำหรับสังคมไทยที่มีต่อไอดอล ทั้งกิจกรรม “จับมือ” การตามเชียร์หรือคอยสนับสนุนวงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทย

ตัวหนังเล่าเรื่องราวของวง BNK48 ตั้งแต่การ Audition เข้ามาของสมาชิก 30 คนแรก จนถึงช่วงออกซิงเกิ้ลที่ 3 ” Shonichi” และมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกตอนต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ฉากเกินครึ่งของเรื่อง คือการที่สมาชิกแต่ละคนเล่าเรื่องราวของตัวเองในไทมไลน์นั้นๆ และมาตัดนำเสนอที่แตกต่างกัน ในแต่ละบุคคล ซึ่งทั้ง 26 คน ก็มีมุมมองที่ต่างไป ตามสถานภาพและ “ชนชั้น” ที่พวกเธออยู่

ภาพลักษณ์ของวง BNK48 ที่นำเสนอถึงความไม่สมบูรณ์แบบของสมาชิกที่คัดเลือกมา และมาฝึกฝนพัฒนาจนเดบิวเป็นศิลปิน แต่ละคนต้องเจอบทเรียนชีวิตที่ต้องตัดสินใจ ทั้งการพยายาม การพัฒนาตัวเอง การแข่งขันกับเพื่อน ความลังเลสงสัยและไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ เราจะได้เห็นการแสดงความรู้สึก และ พูดออกมาตรงๆ ของเด็กๆ ที่มีหลายสิ่งเราก็ไม่นึกว่าเธอคิดหรือรู้สึกอะไร แต่นี่คือครั้งแรกที่เราจะได้รู้

ภาพที่ปรากฎในหนังนอกจากซีนการพูดกับกล้องของเมมเบอร์แต่ละคน ก็จะมีภาพทั้งสมัยเดบิว (ของทาง BNK48 Office) และภาพที่ทางเต๋อมาตามเก็บจากน้องๆ ต้องแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว หลายซีนส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนตามวงแบบจริงๆ จังๆ ก็อาจจะเห็นผ่านตามาบ้างแล้ว แต่ก็มีหลายซีนที่เต๋อสร้างความสะเทือนใจให้ผู้ชมได้อย่างรุนแรง

ในเรื่องเป็นมุมมองจากเมมเบอร์รุ่น 1 ทั้ง 26 คน ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองในช่วงเวลาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวง ความรู้สึกของการมาออดิชั่น การฝึกซ้อม ความผิดหวัง การหาตัวตน วิธีการเอาตัวรอดและแข่งขันกันภายในวง ฯลฯ

ทั้งเรื่องเป็นการเล่าของ 26 คน ไม่มีจากทางผู้ใหญ่ของวง ความรู้สึกคุณจึงเหมือนเป็นอาจารย์แนะแนว ที่มีเด็กๆ ในห้องเรียนมาระบายเรื่องอึดอัด หรือความสับสนที่เขาต้องเผชิญ

ในหนังเราจะเจอกับเรื่องอะไรที่ไม่คาดคิดบ้าง (สปอยด์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่บอกว่าใครเป็นคนพูด)

  • สมาชิกคนนึง เคยเป็นทอมมาก่อนที่จะมาเข้าวง
  • เคยมีสมาชิกที่คิดจะโกงยอด Like ผู้ติดตาม Instagram ด้วยการจ่ายเงินซื้อยอด Like ปลอมเพื่อให้ตัวเองมีอันดับที่สูงขึ้น
  • มีสมาชิกคนนึงรู้สึกเบื่อหน้าเฌอปราง ที่ได้ออกสื่อเยอะมาก ถึงขั้นไม่อยากเปิด Facebook เพราะเปิดขึ้นมาแล้วเห็นแต่รูปเฌอปรางเต็มฟีด
  • มีสมาชิกที่พยายามฝึกซ้อมอย่างหนัก ขนาดที่ว่าตัวเองไม่ได้ติดเซ็มบัตสึเพลงนั้น แต่ก็ยังแอบซ้อมเต้นตามจากข้างๆ เวที
  • มีสมาชิกที่ต้องเดิมพันกับการติดเซ็มบัตสึในซิงเกิ้ลแรก จากแรงกดดันจากครอบครัวว่าถ้าไม่ติดก็ให้เลิก (แต่เธอติดจึงยังเป็นสมาชิกอยู่ทุกวันนี้)
  • เราได้รู้ว่า BNK48 Office ช่วงก่อนจะปล่อยเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย อยู่ในสภาพที่ใกล้จะถังแตกแล้ว
  • มีสมาชิกแถวหน้าของวง มีความคิดว่า ถ้าหากเพลง Koisuru Fortune Cookie ไม่ดัง ก็อาจจะแกรดออกจากวง
  • สิ่งที่อยู่ในเทรลเลอร์ โกหกเราหลายอย่าง 5555555

ไม่รู้จัก BNK48 จะดูเรื่องนี้รู้เรื่องมั้ย?

หากคุณโอชิใครอยู่ ดูแล้วคุณจะรู้สึกรักน้องมากขึ้น ส่วนสาย DD นั้นเชื่อว่ามีน้ำตาแตกกันได้ วันนี้ที่ผมนั่งดูรอบกาล่าฯ มีเสียงสะอื้นฮั่กๆ อยู่เป็นระยะๆ แต่ถ้ารู้จักเพียงแค่ผ่านๆ  เต๋อเองก็มีวิธีการเล่าเรื่องราวและ “ความเป็นตัวตน” และ “จุดยืน” ของเมมเบอร์แต่ละคนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

เอาเป็นว่าถ้าเป็นโอตะจะรู้สึกอินได้มากกว่า ถ้าไม่รู้จักเลย ก็คิดซะว่า นี่คือหนังวัยรุ่นที่เราจะได้รู้ปัญหา แนวคิด และการใช้ชีวิตในสถานะที่ตัวเองถูกกำหนดได้อย่างไร และมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ตัวเองไปอยู่ในที่ๆ ตัวเองอยากไป

จริงๆ คนที่ไม่ใช่โอตะดูหนัง Girl Don’t Cry น่าจะมีอารมณ์สนุกกว่าคนที่ตาม BNK48 ด้วยซ้ำ เพราะช่วงต้นๆ ของหนังนั้น ส่วนใหญ่จะใช้ฟุตเทจเก่าๆ ที่มีเผยแพร่ผ่านรายการทีวีและ YOUTUBE มาก่อนแล้ว เป็นภาพที่โอตะเคยเห็นมานานแล้วเลยอาจจะไม่รู้สึกตื่นเต้น

ดู Girl Don’t Cry จบแล้วได้อะไร?

ไม่ต้องหวังหาซีนฟินๆ หรือเซอร์วิสโอตะ เพราะมันไม่มีเลยแม้แต่วินาทีเดียวในหนังนี้ เราจะได้เห็นภาพในมุมความเป็นมนุษย์ธรรมดาของเมมเบอร์ และเต๋อมีวิธีการขยี้คำตอบของเมมเบอร์แต่ละคนออกมาได้จังหวะจะโคนที่ดี เอาเรื่องเครียดๆ มาทำให้คนหัวเราะครืนทั้งโรงได้อยู่หลายครั้ง และก็มีภาพสั้นๆ ไม่กี่วินาทีก็สตั้นท์ความรู้สึกจนจุกอกได้เลยก็มี

ที่ผ่านมา เหล่าโอตะที่ติดตาม ก็มักจะมองเรื่องพลังบวกที่ได้รับจากวง แต่หลายคนก็ลืมคิดไปว่า อ้าว! แล้วพลังลบมันหายไปไหน? ใช่ครับ… เด็กๆ แต่ละคนที่ส่งพลังบวกอันสดใสให้กับแฟนๆ ต่างต้องเผชิญกับพลังลบและแรงเสียดทานมากมาย

ในหนัง เฌอปรางได้พูดถึง “ความไม่เสมอภาคของโลกใบนี้” ที่รู้สึกโดนใจผมมากที่สุด มันคือเรื่องจริงที่เราต้องยอมรับ มนุษย์เรามีความแตกต่าง และต้องเข้าใจว่าทุกคนอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน คนที่อยู่ที่สูงก็ไม่รู้ว่าคนอยู่ก้นหลุมนั้นรู้สึกอย่างไร ส่วนคนที่ไม่มีใครสนใจจดจำ ก็อาจจะไม่เข้าใจว่าการยืนท่ามกลางแสงไฟและสายตาจ้องมอง ต้องเผชิญกับอะไร

เรารู้สึกได้ว่า เด็กพวกนี้ ความคิดโตเกินกว่าอายุของพวกเธอมาก ด้วยตำแหน่งที่ทำคือการทำงานจริงๆ ต้องมีความรับผิดชอบ แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กจึงพูดออกมาได้แบบไม่ต้องเกรงใจอะไร จนบางครั้งก็ทำให้ผู้ใหญ่มองกลับไปดูตัวเองว่าถ้าเราต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เราจะตัดสินใจอย่างไร?

เชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในหนัง Girl Don’t Cry ที่ออกฉาย ยังมีอีกหลายเรื่องที่เมมเบอร์พูดแล้วเอามาเผยแพร่ไม่ได้ ทั้งหมดในหนังนี้ อาจจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวยอดภูเขาน้ำแข็งพ้นน้ำอย่างที่เจนนิษฐ์บอกก็เป็นได้

แต่ความจริงที่เกิดขึ้นใน BNK48 นั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรจากสังคมอื่นๆ ที่เราอยู่ ทั้งสังคมวัยเรียน วัยทำงาน เราถูกปลูกฝังให้พยายาม ทำให้ดีที่สุด ผลักดันให้ต้องแข่งขันตลอดเวลา แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่หลักประกันว่า คนที่ชนะหรือเก่งสุดจะได้รับโอกาส คนเรียนเก่งเกรดดี ก็ไม่ใช่ว่าจะสมัครงานแล้วได้รับเลือก คนทำงานเก่งก็ใช่ว่าจะได้รับการโปรโมท

ความแตกต่างของผู้คนในสังคม ที่สุดท้ายมันก็มี “ชนชั้น” เกิดขึ้นมาอย่างที่แก้ไม่ได้ แต่สุดท้ายเราจะใช้วิธีอะไรที่จะอยู่ในสังคมนั้น จะเปลี่ยนชนชั้นของตัวเองด้วยวิธีการอย่างไร? หรือแม้แต่การอยู่อย่างมีความสุขในชนชั้นนั้นๆ

“เพราะโลกนี้มันไม่มีหรอก ความเสมอภาค มันเป็น FACT ที่ทุกคนต้องยอมรับ”

หมายเหตุ : เนื้อหาอารมณ์อาจจะดูดาร์ก แต่หนังมาจากจักรวาลมาเวล เพราะมีต้องรอดูหลังจบ End Credit

ขอบคุณ : Samsung Mobile Thailand สำหรับที่นั่งชมรอบกาล่าฯ ที่ทำให้เรามีโอกาสชมรอบปฐมทัศน์พร้อมกับสมาชิก BNK48 ทั้ง 53 คน มีบรรยากาศเสียงฮือ ว้าว เป็นจังหวะๆ เสมือนว่าพวกเธอมานั่งดูวิดีโองานเลี้ยงรุ่น แล้วอย่าลืมอุดหนุน Samsung Galaxy J8 ไอดอลสมาร์ทโฟนสำหรับโอตะตัวจริง

มะงึกๆอุ๋งๆ เพลงป็อปใสๆ แรงบันดาลใจจากพลังบวกของ BNK48

เพลงชื่อโคตรประหลาดอย่าง มะงึกๆอุ๋งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่ถ้าใครที่โอชิ อร BNK48 จะเข้าใจ (ฮา) ตอนนี้เป็นอีกปรากฎการณ์ เพราะมันกลายเป็นเพลงที่ Viral และมียอดฟังยอดดาวน์โหลดเยอะอย่างคาดไม่ถึง!

Fan Song คืออะไร?

สำหรับใครที่ตามกลุ่ม BNK48 น่าจะเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่า “Fan Song” เป็นเพลงที่กลุ่มแฟนคลับแต่งให้กับศิลปิน ที่เป็นทั้งการเล่าเรื่องราวหรือสื่อความในใจไปหายังตัวเมมเบอร์ ก็แล้วแต่ว่าใครจะโอชิใคร และ Fan Song ของ BNK48 นั้นมีออกมาเยอะมากๆ ขนาดที่ว่าในเว็บ “ฟังใจ” (Fungjai) ที่เป็นเว็บเพลงที่ให้ศิลปินอิสระนำเพลงของตัวเองมาเผยแพร่ได้ ตั้งแต่ช่วงที่ BNK48 ได้รับความนิยม (ปลายปี 60) ในอันดับ Top20 ในแต่ละสัปดาห์ จะมี Fan Song ของ BNK48 เข้ามาติดอันดับตลอด เคยเยอะสุดคือ ในท็อป 20 มีติดเข้ามาถึง 13 เพลง!

มะงึกๆอุ๋งๆ จาก ORNLY YOU

มาพูดถึงเพลงนี้กันเถอะ มะงึกๆ อุ๋งๆ เป็นเพลงที่แต่งขึ้นมาให้กับ อร-พัศนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 เมมเบอร์ขวัญใจวัยดึก ที่มีคาแรคเตอร์ขี้อ้อน น่ารักๆ ที่มาของชื่อเพลงนี้ก็มาจากศัพท์บัญญัติของอร ที่มีเยอะมาก และแต่ละคำก็มักจะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไรเลย 5555555 ซึ่งคำว่า “มะงึกๆ” นี่ก็เป็นหนึ่งในภาษาแมวน้ำของอร ส่วนคำว่า “อุ๋งๆ” ก็มาจากเสียงร้องของแมวน้ำ ที่เป็นเหมือนคาแรคเตอร์ของอร ก่อให้เกิดเป็นชื่อเพลงนี้แบบงงๆ

คนทำเพลงนี้คือ ORNLY YOU ปล่อยเพลงนี้มาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ก่อนวันวาเลนไทน์วันนึง ตัวเพลงที่ฟังครั้งแรกรู้สึกได้เลยว่า คนทำเพลงนี้ไม่ธรรมดา ต้องเป็นระดับมืออาชีพแน่นอน เมื่อไปค้นข้อมูลมาก็พบว่าเป็นผลงานของ ต๊อบ-ภราดร รอดประเสริฐ (tobadolls) มือกีตาร์วง Rapbit Dolls วงดนตรีแนวร็อคอีโมที่เคยอยู่ใต้ดินและเคยทำเพลงกับ RS (BNK48 นี่สายถล่มวงการร็อคของจริง) ปัจจุบันทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปิน และแต่งเพลงโฆษณา ถ้าอยากรู้เรื่องของ และแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ อ่านได้ที่ TrueID

เรื่องดนตรีและเนื้อร้อง ทำออกมามีความไชหูที่รุนแรงมาก ชนิดที่ว่าฟัง 3-4 รอบก็ร้องตามเมโลดี้หลอนหูได้แล้ว (ผมใช้เพลงนี้ล้างหูจาก Koisuru Fortune Cookie ได้ แล้วก็มาติดเพลงนี้แทน ฮาาา) ดนตรีเป็นป็อปใสๆ จังหวะสนุก ดีเทลแน่น จังหวะฟังเพลิน

ส่วนของเนื้อเพลง โอ้โห! มีความเป็นเพลงป็อปที่สมบูรณ์แบบมากๆ การเล่าเรื่องแบบวัยรุ่นความรัก เอากิมมิคภาษาแมวน้ำของอรมาแต่งเป็นเพลง ที่ทำให้คำแปลกๆ กลายเป็นเอกลักษณ์และติดหูได้ไม่ยาก เนื้อหาเล่าความขี้อ้อนแล้วความเป็น อร ได้ชัดเจนมาก ใครที่โอชิอรอยู่แล้ว้ก็รักเพลงนี้ได้ในทันที ในทางกลับกัน ความน่ารักของเพลงนี้ก็ทำให้คนที่ฟังอยากไปตามอรด้วยเช่นกัน

เสียงร้องเพลงนี้คนร้องคือ น้ำนุ่น นภัสสร ส่วนตัวผมฟังแล้วเนื้อเสียงของน้ำนุ่นใกล้เคียงกับ อร BNK48 ค่อนข้างมาก (จนบางคนมาฟังครั้งแรกยังเข้าใจหรือมโนไปว่าอรมาร้องเพลงนี้จริงๆ) รวมถึงทำนองของเพลงก็อยู่ในคีย์ที่เหมาะกับเสียงของอรด้วยเช่นกัน ก็หวังว่าวันนึงแม่อรจะเอาเพลงนี้ไปร้องให้ได้ฟินกัน

มะงึกๆอุ๋งๆ กลายเป็น Fan Song ที่ฮิตที่สุด

ผมกล้าใช้คำพูดนี้โดยที่ไม่ใช่การอวยหรือเอาความรู้สึกส่วนตัวมาพูด เพราะเพลงนี้ตั้งแต่ปล่อยลงใน Youtube ไป ก็มีกระแส Viral บอกต่อกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยความดีงามของตัวเพลงที่เพราะและสนุกดีมาก ยอดวิวใน Youtube ของคลิปเพลงนี้ทะลุเกิน 3 ล้านในเวลา 2 เดือนที่ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับเพลงจากนักร้องที่ไม่มีใครรู้จัก และไม่ใช่เพลง Cover ด้วย

หลังจากนั้นตอนต้นเดือนเมษายน มะงึกๆอุ๋งๆ ก็ลงขายใน Apple iTunes ในราคา 19 บาท (มีเวอร์ชั่น Backing Track ด้วยนะ) โดยความตั้งใจของการเอามาขายนั้น ทาง ORNLY YOU ประกาศว่ารายได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายเพลง มะงึกๆอุ๋งๆ จะนำไปบริจาคให้ “มูลนิธิรักษ์แมว ปันน้ำใจให้แมวจร” ส่วนสาเหตุที่เลือกบริจาคให้แมว เพราะว่าอรเป็นคนที่รักแมวและเลี้ยงแมว

และจะเห็นว่าในอันดับ Trending ของ มะงึกๆอุ๋งๆ ขึ้นอันดับ 1 ใน 1-2 วันแรก แซง Shonichi ของ BNK48 ที่เปิดตัวใน iTunes วันเดียวกัน และปัจจุบันเพลง มะงึกๆอุ๋งๆ ยังคงติดในอันดับเทรนดิ้ง Top50 อยู่

และตอนนี้ก็ยังสามารถฟังเพลงนี้ทาง Streaming App ต่างๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Spotify, Joox และ True ID Music ซึ่งการฟังผ่านสตรีมมิ่งก็ได้รายได้ด้วยเช่นกัน และรายได้ทั้งหมดก็บริจาคด้วยเช่นกัน

สำหรับใครใช้ iPhone มีให้ซื้อเป็น iTunes ringtone : https://apple.co/2q0mK5Z หรืออยากได้เป็นเสียงรอสายก็ กด *49223080 โทรออก ใช้ได้ทั้ง AIS DTAC TRUE

พลังบวกของโอตะที่สื่อถึงเมมเบอร์ คือการ Give & Take ที่สวยงาม

ORNLY YOU ไม่ได้ทำเพลง มะงึกๆอุ๋งๆ ให้กับอรเพลงเดียว ด้วยสกิลของต็อบที่เป็นนักแต่งเพลง และทำเพลงได้ด้วย แทบทุกวันที่ อร BNK48 โพสต์อะไรที่ดูเป็นประเด็นในแต่ละวัน ก็จะมีทำเป็น jingle สั้นๆ จากคำเหล่านั้นออกมาแชร์เหมือนแซวอรแบบทันท่วงที และที่สำคัญตัว อร BNK48 เองก็ติดตามผลงานและเอาไปโพสต์ถึงอยู่บ่อยๆ จนเหมือนว่านี่เป็นการสื่อสารโต้ตอบกันระหว่างแฟนคลับและศิลปิน ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

และที่สำคัญเลยคือ ความสำเร็จ (ผมขอใช้คำนี้นะ) ของเพลง มะงึกๆ อุ๋งๆ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากคอนเซปต์ของวง BNK48 ที่ตัวเมมเบอร์และแฟนคลับ “ต่างเกื้อหนุนและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน” นั่นคือประเด็นที่ว่าทำไมถึงได้มีโอตะติดตาม และทำอะไรให้กับเมมเบอร์ของวงแบบเหลือเชื่อ ที่ผ่านๆ มาเราจะเห็นการรวมกลุ่มเพื่อเซอร์ไพร์สสาวๆ อย่างวันเกิดก็มีเช่าป้ายเพื่ออวยพรวันเกิด หรือทำอีเว้นท์เพื่อแสดงออกให้รู้ว่าแฟนคลับต้องการอวยพร ส่วน BNK48 ก็มอบพลังบวกคืนมาให้จากการโชว์, ผลงานต่างๆ และงานจับมือ พลังที่คอยเกื้อหนุนกันนี่ล่ะ มันเป็นระบบที่ให้คุณที่เข้ามา รู้จักการ “ให้และรับ” ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม

สุดท้าย ผมก็หวังว่า ORNLY YOU จะเอาบรรดาเพลงจิงเกิ้ลที่แซวอรไว้ มาแต่งเป็นเพลงเต็มๆ เสียทีนะ~

ตัวอย่างเพลงแซว อร BNK48 ฝีมือของ ORNLY YOU

เนื้อเพลง มะงึกๆ อุ๋งๆ

  • เพลง : มะงึกๆอุ๋งๆ
  • นักร้อง : น้ำนุ่น นภัสสร
  • เนื้อร้อง : Tobadolls
  • ทำนอง : PRD / C3PD
  • เรียบเรียง : PRD
  • Mixed & Mastered by Tobadolls at A Bear Hope Studio

รักมันคืออะไร รักมันเป็นยังไง มันใช่อาการ อุ๋งๆ หรือเปล่า

คิดถึงมันคืออะไร คิดถึงมันเป็นยังไง อาการมันจะ มะงึก ใช่ไหม

ไม่อยากพูดเลย คำว่ารัก ไม่อยากพูดเหมือนคนนับล้านคนบนโลก

ไม่อยากพูดว่าคิดถึง ขอเปลี่ยนเป็นมะงึกๆ คำว่ารักใช้คำว่าอุ๋งก็แล้วกัน okไหม

เธอเข้ามาอ้อนทำเหมือนว่าอุ๋งเธอเข้ามาตกหัวใจ มาตกให้ฉันอุ๋ง ฉันมะงึกทั้งหัวใจ

ไม่รู้ตัวมาก่อน จนเธอมายิ้มใส่ เธอทำให้ฉันมะงึกอยู่อย่างนั้น จะไม่ให้อุ๋งเธอได้ไง

รักมันคืออะไร รักมันเป็นยังไง มันหน้าเหมือน พัศชนันท์ หรือเปล่า

คิดถึงมันคืออะไร คิดถึงมันเป็นยังไง คือหลับตาก็เห็นหน้าเธอ ใช่ไหม

ไม่อยากพูดเลย คำว่ารัก ไม่อยากพูดเหมือนคนนับล้านคนบนโลก

ไม่อยากพูดว่าคิดถึง ขอเปลี่ยนเป็นมะงึกๆ คำว่ารักใช้คำว่าอุ๋งก็แล้วกัน okไหม

เธอเข้ามาอ้อนทำเหมือนว่าอุ๋งเธอเข้ามาตกหัวใจ มาตกให้ฉันอุ๋ง ฉันมะงึกทั้งหัวใจ

ไม่รู้ตัวมาก่อน จนเธอมายิ้มใส่ เธอทำให้ฉันมะงึกอยู่อย่างนั้น จะไม่ให้อุ๋งเธอได้ไง

เธอเข้ามาอ้อนทำเหมือนว่าอุ๋งเธอเข้ามาตกหัวใจ เธอตกให้ฉันอุ๋ง ฉันมะงึกทั้งหัวใจ

ไม่รู้ตัวมาก่อน จนเธอมายิ้มใส่ เธอทำให้ฉันมะงึกอยู่อย่างนั้น…..

เธอเข้ามาอ้อนทำเหมือนว่าอุ๋งเธอเข้ามาตกหัวใจ มาตกให้ฉันอุ๋ง ฉันมะงึกทั้งหัวใจ

ไม่รู้ตัวมาก่อน จนเธอมายิ้มใส่ เธอทำให้ฉันมะงึกอยู่อย่างนั้น จะไม่ให้อุ๋งเธอได้ไง

ประโยคสุดท้ายของเพลงที่ฉันจะบอก ว่าฉันอุ๋งเธอ

ภาพประกอบ | เพลง : https://www.facebook.com/ORNLY.U/

Truemove H TRAVEL SIM เที่ยวเมืองนอก เล่นเน็ตคุ้มราคา Non-Stop

Truemove H TRAVEL SIM ซิมบริการพิเศษสำหรับท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับคนที่จะไปเที่ยวแต่ไม่อยากเช่าบริการพวก Pocket Wi-Fi หรือไม่สะดวกจะเปิดบริการแบบโรมมิ่ง TRAVEL SIM คือตัวเลือกที่ให้คุณเล่นเน็ตเมืองนอกได้แบบ Non-Stop ในราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิด

รู้จักกับ Truemove H TRAVEL SIM

เป็นซิมรูปแบบของซิมเติมเงิน ที่เปิดใช้งานได้ทันที โดยตัวซิมจะเปิดบริการโรมมิ่งให้เรียบร้อย และจะมีแพ็กเกจเฉพาะที่ให้ในราคาพิเศษสำหรับเล่นเน็ตในต่างประเทศ

การใช้งานนั้นก็สะดวกไม่ต้องตั้งค่าอะไร แค่แกะซิมใส่สมาร์ทโฟนของคุณ จากนั้นเมื่อนำไปเปิดใช้งานในประเทศที่เดินทางไปท่องเที่ยว แพ็กเกจเน็ตก็จะเริ่มใช้งานทันที โดยที่

Travel Sim Asia

ซิมท่องเที่ยวประเทศในเอเซีย ที่รองรับการใช้งานได้ 12 ประเทศคือ กัมพูชา, กาตาร์, เกาหลีใต้, จีน, ไต้หวัน, พม่า, ฟิลิปปินส์, มาเก๊า, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และฮ่องกง

ซื้อซิม Travel Sim Asia ราคา 399 บาท จะสามารถใช้เน็ตแบบ Non-Stop 4GB เป็นเวลา 8 วัน หลังจากนั้นสามารถซื้อแพ็กเสริมเพิ่มได้หากใช้ไม่พอ โดยสามารถซื้อแพ็กเสริมได้ระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ

  • เน็ต 1GB 3 วัน (แบบจำกัด) ราคา 150 บาท
  • เน็ต Non-Stop 4GB 8 วัน ราคา 299 บาท

Travel Sim World

สำหรับซิมนี้จะรองรับใช้บริการได้ในหลายประเทศทั่วโลก ที่คุณสามารถไปใช้งานได้ถึง 48 ประเทศ ได้แก่ กรีซ, กัมพูชา, กาตาร์, กานา, เกาหลีใต้, จีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, ไต้หวัน, นอร์เวย์, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บัลแกเรีย, โปรตุเกส, ฝรั่งเศส, พม่า, ฟิลิปปินส์, มอลตา, มาเก๊า, มาเลยเซีย, เยอรมัน, รัสเซีย, โรมาเนีย, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, เวียดนาม, สเปน, สโลวีเนีย, สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, สาธารณรัฐเช็ก, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, สหราชอาณาจักร, อิตาลี, อินโดนีเซีย, แอฟริกาใต้, แอลเบเนีย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, ฮ่องกง, ฮังการี และอินเดีย

ซื้อซิม Travel Sim World ราคา 899 บาท จะสามารถใช้เน็ตแบบ Non-Stop 4GB เป็นเวลา 15 วัน หลังจากนั้นสามารถซื้อแพ็กเสริมเพิ่มได้

  • เน็ต 1GB 3 วัน (แบบจำกัด) ราคา 300 บาท
  • เน็ต Non-Stop 4GB 8 วัน ราคา 799 บาท

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้งาน Truemove H TRAVEL SIM

  • ซื้อและลงทะเบียนก่อนการใช้งานด้วยบัตรประชาชน หรือ Passport ได้ที่ ทรูช้อป ทรูพาร์ทเนอร์ และตัวแทนจำหน่ายที่มีเครื่องหมาย 2 แชะ
  • แพ็กเกจเน็ต Non-Stop 4GB ที่มาพร้อมกับซิม จะมีผลทันทีเมื่อมีการใช้งานในประเทศที่เข้าร่วมรายการ
  • การให้บริการ และความเร็วสูงสุดของการให้บริการ 4G | 3G | EDGE | GPRS ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ให้บริการในต่างประเทศ

ดูรายละเอียดแพ็กเกจค่าบริการทั้งหมดได้ที่ Truemove H

โปรโมชั่นพิเศษ แจกโบนัสฟรี 1 – 7 เมษายนนี้

เที่ยวสนุก เล่นเน็ตไม่สะดุด ทั้งในเอเชียและทั่วโลก พิเศษ! รับโบนัสสำหรับโทรออก-รับสาย หรือซื้อแพ็กเกจเสริม ไว้ใช้ในต่างประเทศทันที เมื่อเปิดใช้งาน Truemove H TRAVEL SIM ตั้งแต่วันที่ 1 – 7 เมษายน 2561 นี้

ซิมเติมเงินพร้อมใช้ต่างประเทศ TrueMove H Travel SIM แจกโบนัสฟรี ฉลองครบรอบ 1 ปี เมื่อเปิดใช้งาน 1 – 7 เมษายนนี้

  • Travel SIM World รับโบนัส 100 บาท
  • Travel SIM Asia รับโบนัส 50 บาท

เงื่อนไข 

  • จะได้โบนัส เฉพาะซิมที่เปิดใช้งานในช่วงวันที่ 1 – 7 เมษายนเท่านั้น
  • ต้องมีการลงทะเบียนซิมเติมเงินให้เรียบร้อยก่อนใช้งาน
  • ตรวจสอบยอดโบนัสผ่านทาง SMS

เงินโบนัส สามารถใช้โทรออก รับสาย และซื้อแพ็กเสริมโรมมิ่งเพื่อใช้งานได้

5 กิจกรรมออกกำลังกาย เบิร์น 500 Kcal ได้ใน 1 ชั่วโมง

สำหรับคนไม่ชอบเข้ายิม ไม่ชอบเล่นฟิตเนส แต่ก็อยากจะหากิจกรรมออกกำลังกายเผื่อเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ มี 5 กิจกรรมที่จะแนะนำ ที่จะช่วยให้ เบิร์น 500 Kcal ทิ้งได้ภายในเวลา 1 ชม.

เบิร์น 500 Kcal ได้ใน 1 ชั่วโมง!

เต้นแอโรบิค

เปิดเพลงมันส์ๆ แล้วหาคลิปแอโรบิคทางออนไลน์แบบที่นำท่าต่อเนื่อง จัดเป็น Playlist แล้วเต้นตาม หรือจะลองออกไปเต้นตามสวนสาธารณะที่มักจะมีพื้นที่ๆ มีคนนำเต้นทั้งช่วงเช้าและเวลาเย็น การเต้นให้สนุกสนานตามจังหวะเสียงเพลง การเต้นแอโรบิค นอกจากจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อแล้วหากคุณเต้นต่อเนื่องนาน 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 500 แคลอรี่

ว่ายน้ำ

สำหรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายที่เหงื่อออกเยอะๆ หรืออากาศร้อนๆ ลองเปลี่ยนมาเป็นการว่ายน้ำดูก็ได้ เพราะนอกจากจะเย็นสบายแล้ว การว่ายน้ำยังใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน ว่ายน้ำแค่ 1 ชั่วโมง ก็ช่วยเบิร์น 500 Kcal ทิ้งได้แบบสบายๆ แล้วยังได้หุ่นเฟิร์มสวยๆ เป็นของแถมอีกด้วย นอกจากนี้การว่ายน้ำยังเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว เพราะการว่ายน้ำไม่มีผลเรื่องของแรงกระแทก ที่อาจจะทำให้รู้สึกปวดบริเวณขาหรือเข่าได้

กระโดดเชือก

สำหรับคนที่ไม่มีเวลาออกไปนอกบ้าน แนะนำนี่เลย กระโดดเชือก ดูเหมือนจะเป็นการออกกำลังกายง่ายๆ แต่บอกเลยว่าเหนื่อยและเรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายมาก่อน แนะนำให้ค่อยๆ กระโดดจากทีละน้อยๆ แล้วก็พักเป็นเซ็ต อย่าฝืนตัวเอง เพราะอาจจะทำให้เกิดโทษกับร่างกายหากว่าหักโหมเกินไป

นอกจากนี้ การกระโดดเชือกนั้นยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อช่วงล่าง, ก้น และต้นขาได้อีกด้วยนะ ถ้าวันไหนสุดวิสัยไปออกกำลังกายไม่ได้ คว้าเชือกมาโดดปั่บๆๆๆ ได้เลย ได้เหงื่อชัวร์

ปั่นจักรยาน

การออกกำลังกายที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย หรือคนน้ำหนักตัวมากก็ปั่นได้ การปั่นจักรยานจะปั่นชมวิว ซื้อของ ปั่นตามสวนสาธารณะ หรือจะจริงจังปั่นทางไกลก็ได้ ไม่จำเป็นต้องจัดเต็มอุปกรณ์ครบเซตถึงจะปั่นเพื่อออกกำลังกายได้ หรือถ้าจะปั่นจักรยานด้วยเครื่องออกกำลังกายในฟิตเนสก็ได้ด้วยเช่นกัน แต่อย่าลืมว่าการปั่นจักรยานจะต้องระวังเรื่องสถานที่ หรือการปั่นบนท้องถนนก็ต้องรักษากฎจราจรกันด้วยนะ

แบดมินตัน

การออกกำลังกายสำหรับคนขี้เหงาและไม่อยากเล่นคนเดียว แนะนำให้ชวนเพื่อนไปตีแบดมินตันกัน เป็นการออกกำลังกายด้วยกีฬาง่ายๆ มีไม้แบดฯ คนละอันกับลูกขนไก่ จะไปตีที่คอร์ท หรือหาที่ว่างๆ ตีเล่นกับเพื่อนก็ได้ ตกเย็นหลังเลิกงานชวนกันไปยึดลานจอดรถของบริษัท แล้วดวลลูกขนไก่ก่อนกลับบ้าน ก็เรียกเหงื่อและยืดเส้นยืดสายหลังจากทำงานมาทั้งวันได้เป็นอย่างดี

แบดมินตันเป็นกีฬาที่ดูเหมือนจะออกแรงไม่เยอะ แต่การที่ได้เดินและขยับตัวตลอดเวลา ก็ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มาก

รีวิว Garmin Fenix 5 ที่สุดของนาฬิกา Multi-sport รองรับทุกไลฟ์สไตล์

รีวิว Garmin fenix 5 เรียกได้ว่า เป็นนาฬิกา Multi-Sport ตัวท็อปสุดของ Garmin ประจำปี 2017 เพราะอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล่าสุด และประสิทธิภาพครบถ้วนรอบด้าน

ในบรรดานาฬิกา GPS แบบ Multi-Sport สำหรับการออกกำลังกาย Garmin fenix ถือว่าเป็นซีรี่ย์รุ่นระดับเรือธงของการ์มิน ที่จะโดดเด่นเป็นพิเศษเรื่องของฟีเจอร์ความสามารถต่างๆ ที่อัพเดทใหม่ล่าสุด รวมถึงการออกแบบและใช้วัสดุที่ดีเยี่ยม มีการพัฒนาต่อเนื่องมาหลายรุ่น ตั้งแต่ fenix, fenix 2, fenix 3, fenix 3 HR จนถึงปัจจุบันการ์มินได้ออกเจ้านกไฟรุ่นล่าสุด Garmin fenix 5 (อ้าว! แล้ว fenix 4 หายไปไหน?) สำหรับรุ่นที่ 5 ถือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้านี้หลายอย่าง โดยปรับปรุงข้อด้อยหลายอย่างที่เคยมีให้หมดไป และมีเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ดีขึ้นไปอีก

Garmin fenix 5 ออกมาให้เลือกได้ 3 รุ่น 3 ขนาด!

สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างแรกในนกไฟรุ่นที่ 5 นี้ก็คือ มีรุ่นย่อยแยกออกมาพร้อมกันถึง 3 รุ่น คือ fenix 5, fenix 5s และ fenix 5x โดยความแตกต่างกันนั้นอย่างแรกเลยก็คือเรื่องของขนาดตัวเรือน ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า fenix รุ่นก่อนหน้านี้มีขนาดตัวเรือนและน้ำหนักค่อนข้างมาก จึงเป็นอุปสรรคสำหรับสาวๆ หรือคนที่ข้อมือเล็ก งานนี้การ์มินเลยจัดให้แยก 3 ขนาด เลือกได้ตามใจชอบ

Garmin fenix 5s

น้องเล็กสุดด้วยขนาดตัวเรือนขนาด 42 มม. หนา 14.5 มม.ตัวสายจะเป็นขนาด 20 มม. น้ำหนักตัวเรือนพร้อมสายแบบซิลิโคนอยู่ท่ 67 กรัม เรียกได้ว่าเป็นขนาดที่เหมาะสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ เพราะถ้าเทียบกับ fenix 3 แล้วมีขนาดเล็กลงมาเกือบ 30% เลยทีเดียว แถมดีไซน์ตัวเรือนก็ดูไม่แมนมากอีกด้วย

สำหรับ fenix 5s จะมีรุ่นย่อยแยกอีก 2 รุ่นคือ รุ่นมาตรฐานที่ตัวหน้าปัดจะเป็นกระจก mineral และรุ่น Sapphire ตัวกระจกจะเป็นแซฟไฟร์ที่ทนต่อรอยขูดขีด และภายในมีเพิ่มระบบการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้ด้วย

Garmin fenix 5

รุ่นมาตรฐานมาด้วยขนาดตัวเรือนหน้าปัด 47 มม. หนา 15.5 มม. สายขนาดกว้าง 22 มม. น้ำหนักพร้อมสายซิลิโคนอยู่ที่ 85 กรัม ซึ่งจะมีรุ่นแยก 2 รุ่นเหมือนกับ feniz 5s คือรุ่นกระจก mineral และแบบ Sapphire + Wi-Fi ให้เลือก

Garmin fenix 5x

รุ่นจัดเต็มตัวท็อปของตระกูล มาด้วยขนาดและน้ำหนักเท่าๆ กับ fenix 3 HR หน้าปัดใหญ่ถึง 51 มม. ตัวเรือนหนา 17.5 มม. น้ำหนักพร้อมสายซิลิโคนอยู่ที่ 98 กรัม ตัวสายความกว้าง 26 มม. สำหรับ 5x จะมีเฉพาะรุ่น Sapphire อย่างเดียว

แต่สำหรับ 5x แล้วนอกจากจะมีขนาดใหญ่สุดแล้ว ยังมีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมาคือมีหน่วยความจำในเครื่องมาให้ 16GB สำหรับลงแผนที่ในตัวเรือนได้ พร้อมทั้งแสดงผลแผนที่บนหน้าจอได้เลย เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทางในการเดินทางได้ แถมยังสามารถใช้คำสั่งหาเส้นทางวิ่งออกกำลังกายให้อัตโนมัติตามที่ต้องการได้อีกด้วย

แกะกล่อง รีวิว Garmin fenix 5

สำหรับตัวที่ผมจะเอามารีวิวกันในครั้งนี้จะเป็น Garmin fenix 5 รุ่น Sapphire คือตอนแรกก็ลังเลอยู่ว่าจะซื้อเป็นตัวธรรมดาหรือว่าเป็นแซฟไฟร์ไปเลย สุดท้ายก็เลือกแซฟไฟร์ เพราะไม่อยากมาวุ่นวายแปะกระจกกันรอยหน้าจอ ที่มักจะร่อนแตกง่ายมาก ตัวกล่องแพ็กเกจเป็นทรง 4 เหลี่ยมลูกบาศก์แกะออกมาจะเจอกับตัวเรือนแปะสติกเกอร์กันรอยเอาไว้ หยิบออกมาด้านในจะมีของมาให้อีกเป็นสายชาร์จแบบเสียบ USB พร้อมคู่มือการใช้งานเบื้องต้น 1 เล่ม และสติกเกอร์เก๋ๆ ให้อีก 3 แผ่น แค่นี้ล่ะ เรียกได้ว่ามินิมอลสุดๆ ไม่มีอะไรเยอะแยะให้ยุ่งยาก ว่าแล้วก็มาดูกันที่ตัวเรือนเลย

ส่องรอบเครื่อง

ตัวเรือนของ Garmin fenix 5 จะดีไซน์แนวนาฬิกาที่ดูสปอร์ตลุยๆ ตัวเรือนเป็นสีดำทั้งเรือน วัสดุตัวเรือนนั้นจะใช้เป็นสแตนเลสสตีล เคสรอบหน้าปัดจะวัสดุเป็น fiber-reinforced polymer กระจกหน้าปัด อย่างที่บอกไปตอนแรกจะมีให้เลือก 2 รุ่นคือกระจกธรรมดาที่เป็น mineral และแบบที่เป็น sapphire crystal ที่มีความทนทานต่อรอยขูดขีดต่างๆ มากกว่า อันนี้เลือกได้กันตามใจชอบ

ตัวเรือนหน้าปัดเป็นแบบทรงกลม สำหรับในรุ่น fenix 5 และ 5x จะมีขนาด 1.2 นิ้ว (ความละเอียด 240 x 240 พิกเซล) ส่วนรุ่น 5s จะขนาด 1.1 นิ้ว (ความละเอียด 218 x 218 พิกเซล) จุดเด่นตัวหน้าจอนาฬิกาของ Garmin ทุกรุ่นก็คือจะใช้เป็นจอสีแบบ transflective memory-in-pixel (MIP) ที่มีคุณสมบัติคือสามารถมองเห็นได้ชัดในที่สว่างและกลางแจ้ง ต่างจากนาฬิกาสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นๆ ที่ใช้เป็นแบบ OLED ที่แม้ว่าอาจจะให้สีที่สวยสดกว่าแต่ก็กินพลังงานมาก ทางการ์มินเน้นในเรื่องประสิทธิภาพในการใช้งานเพื่อออกกำลังกายมากกว่าจึงเลือกใช้หน้าจอแบบนี้แทน

หน้าจอของ fenix 5 นั้นเป็นจอแบบธรรมดาที่ไม่สามารถสั่งการหรือควบคุมผ่านการสัมผัสหน้าจอ (touchscreen) การควบคุมต่างๆ จะสั่งผ่านทางปุ่มที่อยู่ด้านข้างรอบเครื่องที่มีทั้งหมด 5 ปุ่มด้วยกันคือ (ไล่จากทางขวาวนตามเข็มนาฬิกา) ปุ่มแรกเป็นปุ่ม OK ที่ใช้ตอบตกลงยืนยันเลือกคำสั่ง และเรียกเมนูในการบันทึก Activity ต่างๆ ต่อมาเป็นปุ่ม Back สำหรับย้อนหลังกลับไปเมนูก่อนหน้า ต่อมาเป็นปุ่มเลื่อนขึ้นลงในการเลือกคำสั่ง สำหรับปุ่มเลื่อน Up นั้นถ้ากดค้างไว้จะเป็นการเรียกเมนูคำสั่งหลัก และปุ่มสุดท้ยทางซ้ายบนจะเป็นปุ่มเปิดไฟ backlit เพื่อดูในที่มืด ถ้ากดค้างก็จะเรียก Shortcut เมนูควบคุมเสริมขึ้นมา

พลิกมาด้านหลังของเครื่อง จะมีระบุรุ่นของเครื่อง พร้อมบอกว่าตัวเรือนสามารถกันน้ำได้ถึง 100 เมตร ตามมาตรฐาน 10ATM รองรับการใช้งานกิจกรรมกีฬาทางน้ำได้ทุกประเภท ตรงกลางจะเป็นเซนเซอร์แสงสำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบไฟ 3 ดวง

ตัวสายนาฬิกาเป็นแบบ QuickFit ที่การ์มินออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถถอดเปลี่ยนสายได้ง่ายกว่าเดิม ที่แต่ก่อนนั้นเป็นแบบต้องเอาไขควงมาขันน็อตถอดออก ซึ่งยุ่งยากมาก แต่พอมาเป็นแบบ QuickFit แล้ว เพียงแค่ดันสลักด้านหลังของสายก็ถอดสายออกได้แล้ว คราวนี้ใครอยากจะใส่สายแบบซิลิโคนเวลาวิ่ง แต่อยากเปลี่ยนเป็นสายเหล็กสำหรับวันทำงานเท่ๆ ก็ทำได้สบายๆ 

โดยรวมแล้วเรื่องของการดีไซน์ของ Garmin fenix 5 ถือว่าสวยงามลงตัวตามสไตล์เดิมอย่างมีเอกลักษณ์ ส่วนตัวผมชอบกับขนาดและน้ำหนักของมันที่ลดลงจากตอน fenix 3 HR ลงไปพอสมควร ทำให้ใส่แล้วไม่รู้สึกหนักข้อมือจนเกินไป และสวมได้ทั้งวันแบบไม่ค่อยรู้สึกรำคาญ

แบตเตอรี่ที่อึดถึกทน

จุดเด่นอีกอย่างสำหรับนาฬิกาออกกำลังกายของการ์มินก็คือ แบตเตอรี่ที่ชาร์จครั้งนึงเต็มๆ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานและสำหรับ fenix 5 นั้น ตามสเปคแล้วระบุว่าแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถอยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์ แล้วเปิดในโหมด GPS พร้อม Heart rate ต่อเนื่องได้ 24 ชั่วโมง และในโหมด UltraTrac ได้มากถึง 60 ชั่วโมง (ไม่เปิดใช้ HR)

เมื่อเราได้ทดสอบลองใช้จริง ก็พบว่าอันนี้ไม่ใช่ราคาคุย จากการลองใช้งานสวมตลอดเวลา มีใช้โหมดกิจกรรมวิ่งและปั่นจักรยานรวมกันแล้วประมาณ 5 ชั่วโมง ปรากฎว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานถึง 10 วันโดยที่แบตเหลืออยู่อีก 10% เรียกได้ว่านานๆ ชาร์จทีแล้วใช้ยาวไปเลย พร้อมไปกับคุณได้ทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะปั่นจักรยานทางไกลระดับ Audax , วิ่งมาราธอนนี่สบายๆ ใช้ได้ยัน Ultra Marathon หรือจะเดินป่า วิ่งเทรล ลุยไตรกีฬาสบายๆ ไม่ต้องกลัวแบตเตอรี่หมดระหว่างกิจกรรม

เชื่อมต่อเซนเซอร์ต่างๆ ผ่าน ANT+ และ Bluetooth

ถึงแม้ว่าในตัวของ Garmin fenix 5 จะมีเซนเซอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวระบุพิกัดดาวเทียมทั้งแบบ GPS และ GLONASS, เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบแสงที่ข้อมือ, Barometric altimeter สำหรับวัดความกดอาการและความสูง, เข็มทิศอิเล็กทรอนิกส์, Gyroscope, Accelerometer และเทอร์โมมิเตอร์ แต่นี่อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับคนที่ต้องการเก็บข้อมูลในการออกกำลังกายแบบละเอียดถึงขั้นสุด การ์มินยังเปิดให้เราสามารถเชื่อมต่อเซนเซอร์อื่นๆ แบบไร้สายผ่านมาตรฐาน ANT+ และ Bluetooth ได้ด้วย

ถ้าสำหรับการปั่นจักรยาน เราสามารถต่อกับเซนเซอร์วัดความเร็วและรอบขา (Speed & Cadence) แบบ ANT+ หรือจะเป็นแบบ Bluetooth ก็มีเอามาใช้ด้วยได้เช่นกัน ส่วนการวิ่งเราจะต่อกับตัวเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นแบบคาดอกก็ได้ ที่การ์มินมีรุ่น HRM-Run สำหรับการวิ่งโดยเฉพาะ ส่วนการว่ายน้ำและไตรกีฬาก็มี HRM Swim และ HRM Tri มาพ่วงต่อใช้ได้เช่นกัน

Heart Rate Monitor แบบใหม่

ตัววัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบแสง LED ด้านล่างตัวเรือน มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้านี้ ตรงที่ดวงไฟนั้นไม่นูนออกมาจากตัวเรือน ทำให้เวลาที่สวมใส่ไม่กดทับจนเกิดเป็นรอยที่ข้อมือ และในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจนั้น fenix 5 ยังสามารถส่งสัญญาณที่วัดได้ไปให้กับอุปกรณ์อื่นอย่าง Garmin edge ได้อีกด้วยในรูปแบบของ Broadcast ถือว่าสะดวกสบายสำหรับคนที่ไม่ชอบใช้ HRM แบบรัดหน้าอกที่บางครั้งใส่แล้วอึดอัดน่ารำคาญ

รองรับกิจกรรมและกีฬาได้สารพัดอย่าง

อย่างที่บอกไปว่า Garmin fenix 5 เป็นนาฬิกา GPS แบบ Multi-sport ที่รองรับในการใช้งานกับการออกกำลังกายได้หลายแบบ และนี่คือกีฬาต่างๆ ที่สามารถใช้งานร่วมด้วยได้

  • วิ่ง รองรับทั้งวิ่งกลางแจ้ง, วิ่งในร่ม, บน treadmill, วิ่งเทรล
  • ปั่นจักรยาน มีได้ทั้งการปั่นกลางแจ้งและปั่นเทรนเนอร์ในบ้าน, ปั่นเสือภูเขา
  • ว่ายน้ำ เลือกได้ทั้งว่ายในสระ หรือว่ายแบบ open water
  • ตีกอล์ฟ ที่เอาไว้ใช้ได้ทั้งบันทึกการออกกำลังกาย มีโหมด TruSwing สำหรับเก็บข้อมูลวงสวิง และยังโหลดข้อมูลสนามกอล์ฟมาใช้ระหว่างออกรอบได้ด้วย
  • Triathlon รองรับการใช้สำหรับเล่นไตรกีฬา และทวิกีฬา (ว่ายน้ำ+วิ่ง) เราเลือกกำหนดลำดับกีฬาและกดเพื่อบันทึกระหว่างเปลี่ยน Transition ได้
  • Training การออกกำลังกายที่เลือกแบบ Strength, Cardio ฯลฯ
  • อื่นๆ มีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่ให้เลือกได้ อาทิ เล่นสกี, สโนว์บอร์ด, พายเรือ, เดินป่า, ปีนเขา ไปจนถึงกระโดดร่ม หรือว่าถ้าอยากจะสร้าง Activity ของเราเองก็เลือกสร้างเองก็ยังได้

บอกค่าประสิทธิภาพในการออกกำลังกายได้อย่างละเอียด

เคยมีคำถามจากหลายคนเกี่ยวกับพวกอุปกรณ์นาฬิกาสำหรับเล่นกีฬา ว่ามันมีประโยชน์อะไรหรือถึงต้องหามาใส่เวลาที่ออกกำลังกาย? เราจำเป็นจะต้องบันทึกไปทำไมว่าวิ่งได้ระยะทางเท่าไหร่ จากไหนถึงไหน ปั่นเร็วแค่ไหน ฯลฯ บางคนก็รู้สึกว่าแค่เราออกกำลังกายเฉยๆ ก็พอแล้วไม่ต้องมาสิ้นเปลืองกับอุปกรณ์พวกนี้

ถ้ามองในมุมมองของคนที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง อุปกรณ์พวกนี้ก็อาจจะไม่จำเป็นอะไร แต่สำหรับคนที่อยากออกกำลังกายแล้วต้องการฝึกฝนให้ทำสถิติได้ดีขึ้น รวมถึง Performance ของร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น การออกกำลังกายแบบตามมีตามเกิดนั้นไม่ช่วยให้เกิดพัฒนาการได้ อุปกรณ์เหล่านี้จึงมีส่วนที่เข้ามาช่วยอ้างอิงผลค่าต่างๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬาและการแพทย์ สรุปเป็นคะแนนและค่าเฉลี่ยต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่า การวิ่งหรือปั่นของเรา พัฒนาดีขึ้นหรือได้ผลอย่างไร รวมไปถึงความฟิตของร่างกายอยู่ในระดับไหน

Garmin fenix 5 นั้น นอกจากจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่างๆ ระหว่างการออกกำลังกายเพื่อบันทึกเป็นสถิติส่วนตัว ยังมีการวิเคราะห์ค่าที่มีประโยชน์กับการฝึกฝนของผู้ใช้ในระดับสูงอีกหลายอย่าง

Training Effect

การให้คะแนนที่ประมวลทั้งกิจกรรมของเรา ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ ฯลฯ ออกมาเป็นคะแนน 2 ด้านคือ Aerobic ที่เป็นการออกกำลังกายที่มีผลกับการเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนัก และ Anaerobic ที่เป็นแบบคาดิโอ มีผลในเรื่องของกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งของร่างกาย คะแนนนี้จะให้เป็นเกรดคะแนนเต็ม 5 คะแนน มีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการโฟกัสการออกกำลังกายเพื่อหวังผลที่ต้องการ ว่าต้องการจะลดน้ำหนักหรือสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้ฝึกฝนและเล่นได้ถูกต้องตามเป้าหมายที่ต้องการ

VO2 max

เป็นค่าที่สำคัญมากสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาศักยภาพในการวิ่งของตัวเอง ถ้าแปลกันตรงๆ คือ ค่าปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายสามารถรับและนำไปใช้ได้ มีหน่วยเป็น ml/kg/min หรือ มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัวต่อนาที ยิ่งค่า VO2 max มากเท่าไหร่ ก็หมายถึงประสิทธิภาพโดยรวมของร่างกายที่ดี

ตามปกติแล้วการวัดค่า VO2 max นั้นจะต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์และทดสอบกันที่โรงพยาบาล แต่การ์มินได้พัฒนาตัวอุปกรณ์ให้สามารถวัดค่าได้เทียบเคียงได้ในระดับเดียวกัน นั่นคือทุกครั้งที่คุณใช้ Garmin fenix 5 ใส่วิ่งออกกำลังกาย นาฬิกาจะวัดประเมินผล VO2 max ให้ พร้อมบอกด้วยว่าค่าที่ได้นี่เท่ากับร่างกายอายุเท่าไหร่

Recovery time

มีการประเมินให้หลังจากจบการออกกำลังกายในแต่ละครั้งว่าเราควรที่จะพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกาย เป็นเวลานานแค่ไหนก่อนที่จะออกกำลังกายในครั้งต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เราฝืนร่างกายจนอาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกายที่มากเกินไป

ฟีเจอร์สำหรับการปั่นจักรยาน

Garmin fenix 5 เป็นนาฬิกาที่สวมข้อมือ แต่ว่าถ้าอยากจะเอาไว้ใช้ปั่นจักรยานก็ไม่ใช่ปัญหา การ์มินมีอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า Bike Mount ให้เราสามารถเอาตัวนาฬิกาไปรัดไว้กับตัวแฮนด์เพื่อใข้เป็น Bike Computer แสดงค่าระหว่างการปั่นได้เลย เพราะเราสามารถเชื่อมต่อ ANT+ กับเซนเซอร์ต่างๆ ทั้งตัววัดรอบขา, ความเร็ว และ Power Meter ถ้าให้เทียบแล้วฟีเจอร์อยู่ในระดับเดียวกันกับ Garmin Edge 520 และถ้าเป็น fenix 5x ที่มีระบบนำทางแผนที่มาให้ด้วย ก็เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับ Edge 820 ได้เลย แต่ว่าจะมีข้อด้อยกว่า Edge ตรงที่หน้าจอของ Fenix 5 นั้นเล็กกว่า อาจจะแสดงข้อมูลที่หน้าจอได้ไม่เยอะเท่า รวมถึงเสียงเตือนก็ดังน้อยกว่า อ้อ! และถ้าเอามาใช้ใส่ Bike Mount แล้ว คุณต้องเปลี่ยนมาใช้ตัวเซนเซอร์ HRM แบบคาดอกแทนด้วยนะ

ส่วนฟีเจอร์พื้นฐานต่างๆ มีมาครบถ้วน เราสามารถโหลดคอร์สมาใช้ได้ โหลดโปรแกรมการฝึกฝนแบบ Interval คำนวนค่า FTP (Functional Threshold Power) ให้ได้ (ต้องใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับเพิ่ม) เชื่อมต่อเพื่อควบคุมอุปกรณ์อื่นๆ ของการ์มินอย่างเช่นกล้อง Verb และชุด Varia ที่เป็นเรดาร์ตรวจจับรถที่วิ่งอยู่ข้างๆ รวมถึงใช้ฟีเจอร์ร่วมของ Strava อย่าง Beacon และ live segments ได้ด้วย

ฟีเจอร์สำหรับการวิ่ง

เทคโนโลยีของการ์มินนั้นช่วยให้คุณพัฒนาเรื่องวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่บอกว่าคุณวิ่งได้ไกลแค่ไหน เร็วแค่ไหน ทำ Pace ได้เท่าไหร่ แต่จะมีช่วยดูเรื่องรอบขา, ระยะก้าวขา, จังหวะการลงเท้า (ต้องมีอุปกรณ์เซนเซอร์เพิ่ม) หลายคนวิ่งแทบตายแต่ว่าความเร็วไม่เพิ่มขึ้นเพราะว่าจังหวะและการก้าวที่ไม่ถูกต้อง ค่าเหล่านี้มาช่วยให้คุณนำไปปรับปรุงการวิ่งให้ดียิ่งขึ้นได้

Activity Tracker เก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน

นอกจากจะเอาไว้เล่นกีฬาแล้ว ตลอดเวลาที่คุณสวม fenix 5 ไว้ จะมีระบบเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวตลอดทั้งวันแบบที่สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพทำได้ ทั้งนับก้าวเดิน, ประเมินแคลลอรี่ที่เผาผลาญ, จำนวนการขึ้นชั้นบันได, เก็บวัดคุณภาพการนอนพักผ่อน และยังมีระบบที่เรียกว่า Move IQ ที่บันทึกกิจกรรมการเดิน วิ่ง ปั่นให้อัตโนมัติ (แต่จะไม่เก็บข้อมูลเหมือนเราสั่งบันทึกเอง)

Garmin Connect เชื่อมต่อและทำงานคู่กับสมาร์ทโฟน

หัวใจหลักสำคัญในการใช้งานตัวนาฬิกา fenix 5 คือแอพ Garmin Connect ในสมาร์ทโฟน เพื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ของเรามาเก็บและส่งขึ้นไปประมวลเป็นสถิติให้ เราสามารถมาดูกิจกรรมย้อนหลังต่างๆ ดูผลของการออกกำลังกายแต่ละครั้งโดยละเอียดผ่านทางแอพ (หรือจะผ่านหน้าเว็บก็ได้) ในระบบของ Garmin Connect นั้นยังมีคอมมูมิตี้สำหรับเชื่อมต่อกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ใช้อุปกรณ์ของการ์มินเหมือนกัน เพื่อทำการแชร์ข้อมูลการออกกำลังกาย รวมถึงจัด challenge เพื่อแข่งขันกับเพื่อนๆ ได้ด้วย

ในตัวแอพยังมีส่วน IQ Connect ที่เป็นการโหลดส่วนเสริมเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้กับนาฬิกา ทั้งเปลี่ยนหน้าปัด, แอพใช้งาน, วิดเจ็ทต่างๆ ฯลฯ ได้ฟรีอีกด้วย

รองรับภาษาไทย แจ้งเตือนและควบคุมสมาร์ทโฟนผ่านหน้าปัด

และด้วยความที่มันเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ จึงใช้งานเป็นนาฬิกาอัจฉริยะเพื่อแสดงผลแจ้งเตือนในสมาร์ทโฟนมาที่หน้าจอของ fenix 5 ได้ด้วย โดยรองรับแสดงผลภาษาไทยเต็มรูปแบบ อ่านรู้เรื่องไม่เป็นตัวอักษรต่างดาว หรือถ้าหากมีสายโทรเข้าก็สามารถกดรับหรือตัดสาย และยังมีคำสั่งไว้ควบคุมแอพเล่นเพลงในสมาร์ทโฟน สำหรับใครที่ชอบฟังเพลงระหว่างออกกำลังกาย ก็พกมือถือไว้ในกระเป๋าแล้วกดสั่งเปลี่ยนเพลงจาก fenix 5 ได้เลย

สรุป รีวิว Garmin fenix 5

ในรุ่นนี้ถือว่าการ์มินพัฒนาหลายๆ อย่างจนมาถึงจุดที่ค่อนข้างลงตัว ทั้งเรื่องของดีไซน์และขนาดเรือนที่มีให้เลือกได้หลายไซส์ ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่เพียงพอและพร้อมสำหรับกีฬาทุกประเภท กีฬาหลักทั้งวิ่ง, ปั่น, ว่ายน้ำ, ไตรกีฬา ฯลฯ มีครบถ้วน ส่วนฟีเจอร์สำหรับการออกกำลังกายอื่นๆ ก็มีการเก็บค่าพร้อมวิเคราะห์ให้อย่างละเอียด ชนิดที่ว่าพอคุณสวม fenix 5 แล้วเห็นบรรดากิจกรรมที่มันรองรับได้ จากที่แค่ปั่นจักรยานอย่างเดียว คุณจะรู้สึกว่า เฮ้ย! ลองวิ่งบ้างดีกว่า เอ๊ะ! ว่ายน้ำก็น่าสนุก อ๊ะ! วิ่งเทรลก็น่าตื่นเต้น สุดท้ายคุณอาจจะมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่กำลังลงแข่งไตรกีฬาก็ได้

ลูกเล่นในความเป็นนาฬิกาสมาร์ทวอท์ชก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การเปลี่ยนหน้าจอที่มีให้ดาวน์โหลดจาก Store ของ IQ Connect หรือจะหารูปมาทำเองผ่านแอพ Face It ก็ทำได้ง่าย มีโหลดแอพพลิเคชั่น, วิดเจ็ท และดาต้าฟิลด์เพื่อใช้เสริมการใช้งานได้หลากหลาย การเชื่อมต่อทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนทำได้ดี การแจ้งเตือนสามารถแสดงผลภาษาไทยได้ ใช้ควบคุมเล่นเพลงในมือถือได้ ฯลฯ และดีไซน์ตัวเรือนที่สวยงาม เปลี่ยนสายได้หลายแบบ ทำให้เราสวมใส่ได้ทุกโอกาสไม่จำเป็นว่าต้องเฉพาะตอนเล่นกีฬาเท่านั้น และสุดท้ายคือความอึดของแบตฯ ที่ใช้ได้นานหลายวัน ไม่ต้องมาลุ้นว่าใช้ๆ อยู่แบตจะหมดกลางคันหรือไม่

แต่ถึงแม้ว่า Garmin fenix 5 จะทำได้สารพัดอย่างครอบจักรวาล เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้หลายๆ คนหยุดเอี้ยดคิดก่อนซื้อก็คือเรื่องของราคา เพราะว่า fenix 5 นั้นถือว่าเป็นสินค้านาฬิกาในระดับพรีเมี่ยม ราคานั้นจึงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยราคาที่ทาง GIS เปิดมาสำหรับประเทศไทยมีดังนี้

  • Garmin fenix 5 และ fenix 5s รุ่นมาตรฐาน ราคา 23,500 บาท
  • Garmin fenix 5 และ fenix 5s รุ่น Sapphire ราคา  25,900 บาท
  • Garmin fenix 5x รุ่น Sapphire ราคา 27,900 บาท

ดังนั้นต้องกลับมาถามตัวของเราเองก่อนว่า ต้องการใช้งานมันคุ้มค่าขนาดไหน ถ้าแบบว่าไลฟ์สไตล์คุณคือนักปั่นที่ลำพังแค่ออกไปปั่นอย่างเดียวก็ไม่เหลือเวลาไปเล่นอย่างอื่นแล้ว ก็คงไม่เหมาะที่จะซื้อมาใช้ แต่ถ้าคุณคิดว่าอยากจะเล่นกีฬาหลายๆ อย่าง และคิดเรื่องพัฒนาการในการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก สร้างกล้ามเนื้อ หรือว่าอยากจะอัพตัวเองไปเล่นกีฬาอื่นๆ นาฬิกามัลติสปอร์ตถือว่าเป็นผู้ช่วยที่น่าสนใจ แล้วยังได้เรื่องของความสวยงาม แถมเป็น Activiity Tracker ด้วย Garmin fenix 5 ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกแบบเจ็บแต่จบทีเดียวไปเลย